16.11.08

SLK สันทัด ขับมัน

SLK สันทัด ขับมัน

ไม่รู้ว่าผู้เขียนรู้สึกไปเอง หรือเพราะสนใจรถยนต์เป็นทุนเดิม จึงมองเห็น SLK วิ่งบนท้องถนนเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน หรือช่วงราตรีสังสรรค์...ก็น่าปลื้มใจแทนเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ครับ(แต่ถ้าเป็นรถจากเกรย์มาร์เก็ต เบนซ์ฯคงอยากร้องไห้มากกว่า)


อย่างที่ทราบกันว่า ต่อให้เศรษฐกิจ-บ้านเมืองน้ำเน่าแค่ไหน แต่ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ยังมีกำลังซื้ออยู่มาก ทั้งนี้รถยนต์ถือเป็นหนึ่งออปชันประดับกายที่แสดงให้เห็นถึงหน้าตาและศักยภาพทางสังคม ซึ่งหลายคนอาจมองเป็นของเล่นของสะสม ขณะเดียวกันกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่เท้าขวาหนักพอๆกับกระเป๋าสตางค์ ก็ไม่อยากพลาดยนตรกรรมชั้นดีเช่นกัน

ส่วน SLK นั้น จะว่าเป็นของเล่นเศรษฐีก็ไม่เชิง เพราะสามารถขับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และสมเหตุสมผลพอสมควรกับคนโสดใจซิ่ง หรือใครอยากซื้อเป็นรถคันที่สอง-สาม แล้วเลือกขับตามสถานการณ์ (ที่ไม่ใช่วันครอบครัว)ก็ไม่ว่ากัน ดังนั้นเราจึงเห็น “โรดสเตอร์ตราดาวสามเฉก” วิ่งกันพอสมควร

SLK เจเนอเรชั่นที่สอง รหัส R171 ลุยตลาดโลกตั้งแต่ปี 2004 และถึงคิวไมเนอร์เชนจ์ต้นปีที่ผ่านมา สำหรับเมืองไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำเข้ามาเปิดตัวพร้อมขายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2008 โดยตั้งราคาไว้ 4.5 ล้านบาท แพงกว่าเดิม 1 แสนบาท....แล้วรุ่นนี้อะไรใหม่?

ด้านขุมพลัง 1.8 ลิตร 4 สูบซูเปอร์ชาร์จ เพิ่มแรงม้า 21 ตัวเป็น 184 แรงม้า ขณะที่รูปลักษณ์อันสันทัดถูกปรับให้ดูดุดัน ทั้งกันชนหน้าใหม่ ไฟตัดหมอกทรงรี(เดิมกลม) ลายล้อแมกซ์อัลลอยด์เปลี่ยนเป็นแบบก้านคู่ 5 แฉก กระจกมองข้างฝังไฟเลี้ยวลายใหม่ ปลายท่อไอเสียเปลี่ยนจากท่อคู่สองข้าง มาเป็นแบบเดี่ยว ทั้งยังปรับปรุงพื้นตัวถังด้านล่างและชายล่างของกันชนหลัง ให้อากาศไหลผ่านอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการทรงตัวเป็นเลิศ

นอกจากนี้ยังเพียบด้วยออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย อาทิ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมเครื่องเสียง และแพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์ด้านหลัง ครูสคอนโทรล พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า-ด้านข้างรวม 4 จุด ด้านดิสก์เบรก 4 ล้อ มากับABS ระบบช่วยเบรก BAS และโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP รวมถึงระบบ Cornering Light เพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง

เรียนตามตรงว่าผู้เขียนมีความชอบพวกรถสปอร์ต(แล้วใครไม่ชอบ?)หรือพวกรถนิสัยดิบมันอยู่แล้ว ซึ่งหลังตอบตกลงกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ว่าจะเอา SLK 200 KOMPRESSOR มาทดสอบเป็นเรื่องเป็นราว ยังฉงนว่า โรดสเตอร์คันนี้ดีพอกับการต้องจ่ายถึง 4.5 ล้านหรือไม่ เพราะถ้าคิดถึงความสนุกมันเป็นหลัก และอยากจ่ายถูกกว่า คุณสามารถควักเพียง 2.6 ล้านบาท แลกกับรถโรดสเตอร์ตำนานยี่ห้อ “มาสด้า”ได้เช่นกัน

ไม่ได้จะเปรียบเทียบครับ เพราะระดับ SLK ต้องไปเจอพวก Z4 TT หรือ BOXSER โน้น แต่อยากจะถามเป็นนัยว่า ต้องควักจ่ายขนาดนั้นเพื่อแบรนด์ดาวสามแฉกเหรอ? และคำตอบที่ได้หลังอยู่กับ SLK มาตลอด 4 วัน...ถ้าชอบแนวนี้ + มีกำลังทรัพย์ไม่เดือดร้อน = ซื้อเถอะครับ

นิสัยไม่ดิบเท่า MX-5 แต่ก็ไม่ผู้ดีจ๋าจนน่าสะอิดสะเอียน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 7.9 วินาที แม้ออกตัวไม่ถึงขั้นหลังติดเบาะ แต่หลังผ่านเกียร์ 1 ไปแล้ว บุคลิกและศักยภาพที่แท้จริงของ SLK เริ่มแสดงออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกำลังเครื่องยนต์ ที่ผสานการส่งกำลังได้กลมกลืนกับเกียร์อัตโนมัติ 5
สปีด และถ้าอยากใช้ประสิทธิภาพรถให้เต็มที่ ไม่กริ่งเกรงราคาน้ำมัน ก็ปรับเป็นโหมดสปอร์ต แล้วเล่นเกียร์เปลี่ยนเองจะเร้าใจกว่า

ส่วนตัว(เฉพาะ SLK)การเปลี่ยนเกียร์โดยใช้สองมือควบคุมแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย น่าจะสนุกกว่าการใช้มือซ้ายผลักคันเกียร์เข้า-ออก โดยการสั่งงานของเกียร์ฉับไว ไม่ว่าจะใช้มือซ้ายผลักเพื่อลดเกียร์ หรือมือขวาเพิ่มเกียร์

ในย่านความเร็วกลางๆ ลองตบเกียร์จาก 4 ลงมา 3 รอบกระฉูด 5,000-6,000 รอบ พลันรถพุ่งกระฉับกระเฉง หรืออยากเข้า-ออกโค้งที่ความเร็วสูงๆ ก็ตบเกียร์หวังใช่เอนจิ้นเบรกช่วย ยังให้ความมั่นใจและทะยานไปได้ต่อเนื่อง หรือการขับทางไกลไปต่างจังหวัดจะรู้สึกเหมือนขับรถพยาบาล-รถตำรวจ ที่เพื่อนร่วมทางดูจะเกรงใจเป็นพิเศษ (เชื่อเถอะว่าไม่ขับเกินกฎหมายกำหนด)

การควบคุมเนียนแน่น น้ำหนักพวงมาลัยหน่วงขึ้นตามความเร็วรถ สั่งงานตรงไปตรงมา ตัวรถ-คนขับ เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกับถนน ที่แนบสนิทไปพร้อมๆกันตลอดเส้นทาง ความเร็วสูงยังมั่นคงมั่นใจ ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ แจ้งว่า ความเร็วสูงสุดของโรดสเตอร์คันนี้ ไหลได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังรักษาความเนี้ยบเนียนในการขับเอาไว้ไม่บกพร่อง ดังนั้นอย่าหวังว่า เวลาสาดโค้ง SLK จะมีอาการสะดุ้งดิ้น หรือต้องคอยแก้อาการใดๆ เพราะแค่สองมือประคองพวงมาลัยให้มั่นคงก็พอแล้ว ขณะเดียวกันระบบประมวนผลคอยสั่งการ ไม่ให้เครื่องยนต์ลากรอบ ไหลตามใจเจ้าของมากเกินไป หรือตำแหน่งเกียร์อยู่ไม่เหมาะสมกับความเร็วรถป้องกันการทำงานหนัก อย่างไรก็ตามจุดที่ยังตะขิดใจมากที่สุด คือน้ำหนักในการเหยียบแป้นเบรก ยังไม่น่าประทับใจนัก รู้สึกไม่หนักแน่น เหมือนกับบุคลิกภาพด้านอื่น คือจะออกแนวลึก-เบาไปนิด

สำหรับหลังคาแข็งไฟฟ้าสามารถเปิด-พับเก็บได้ใน 22 วินาที ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสารไม่แพ้พวกรถสปอร์ตซีดาน หรือจะมีเล็ดลอดเข้ามาบ้างก็ยามกระหน่ำคันเร่ง ที่เสียงซูเปอร์ชาร์จดูทำงานขยันขันแข็ง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเสียงที่ฟังหวานหู ถ้าไม่นับเพลงจากเครื่องเสียงชั้นดีที่เปิดคลอกันไป

ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยตามโบชัวร์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมว่า SLK 200 KOMPRESSOR ทำได้ 12.5 กม./ลิตร ส่วนการลองขับจริงในเมือง และยิงยาวๆนอกเมืองใช้ความเร็วประมาณ 100-120 กม./ชม. ตัวเลขที่ขึ้นบนจอแสดงผลแจ้งว่า 10.9 ลิตรต่อ100 กม.หรือ 9.1 กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ...อาจเป็นเพราะความโดดเด่นของตัวรถเอง และความชอบมอง(รถ)ไปเรื่อยของผู้เขียน จึงพานคิดไปเองว่า SLK มันวิ่งเยอะ ทั้งๆที่มีรุ่นอื่นคลาสพอๆกันหรือระดับราคาสูงกว่าวิ่งอยู่บนถนน...แต่ถ้ารถยนต์ราคา 4.5 ล้านบาท วิ่งเกลื่อนจนคุณรู้สึกได้...มันน่าคิดนะว่าเป็นเรื่องแบรนด์ สมรรถนะ คุณภาพ หรือสรุปว่ารถมันดี สมกับการหามาเป็นเจ้าของ!

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์