29.11.08
โอบามาช่วยอุตฯรถลุงแซมกระตุ้นสภาเพิ่มเงินอุดหนุน
ข่าวต่างประเทศ - เพียงแค่ 2 สัปดาห์หลังจากที่สภาครองเกรสส์ของสหรัฐอเมริกาผ่านร่างเห็นชอบให้เทเงินกู้ยืมจำนวน 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 825,000 ล้านบาทเพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันที่กำลังจะล้มครืน เพราะขาดทุนสะสมและโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงาน
ทางด้านบาแร็ค โอบามา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจากพรรคเดโมแครต ดำเนินนโยบายหาเสียงจากบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการประกาศกระตุ้นให้สภาฯ เพิ่มเงินช่วยเหลืออีกเท่าตัว และแน่นอนว่าคำเรียกร้องนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม และสหภาพคนงาน หรือ UAW
โอบามาเรียกร้องให้สภาเพิ่มเงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.65 ล้านล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการวิเคราะห์ของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ระบุว่า ในตอนนี้ทั้งไครสเลอร์และจีเอ็มกำลังประสบปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน และในปีหน้าทั้ง 2 ค่ายนี้จะอยู่ในสภาพวิกฤตมากขึ้นหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ ในขณะที่ฟอร์ด แม้ว่าในปีนี้จะยังไม่เจอกับปัญหาในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าในปีหน้าจะมีสภาพไม่ต่างจากบริษัทร่วมชาติ
"ผู้ผลิตรถยนต์ของอเมริกันควรที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วนในเรื่องนี้ รวมถึงควรจะรีบเจรจากับทาง UAW ถึงทางออกที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่เกิดปัญหาล้มละลาย" Rod Lache นักวิเคราะห์ของ Deutsche Bank กล่าว
นอกจากนั้น บรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างระบุตรงกันว่า การดำเนินงานในเรื่องเงินช่วยเหลือในด้านการกู้ยืมครั้งนี้จะต้องรีบกระทำอย่างเร่งด่วน "ระยะเวลา 18 เดือนที่จะต้องรอความช่วยเหลือ มันเป็นช่วงเวลาที่นานเกินไป" Douglas Holtz-Eakin ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของจอห์น แม็คเคน ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีของพรรครีพับรีกันซึ่งเป็นคู่แข่งของโอบามากล่าว
โดยทางแม็คเคนเห็นด้วยกับการที่สภาครอสเกรสส์ผ่านเงินอุดหนุนจำนวน 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องรอเงินจำนวนนี้นานถึงปีครึ่งตามที่กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาเปิดเผย และระบุว่า"แผนการนี้ควรเป็นมาตรการที่รีบเร่งและมีความสำคัญเป็นอันดับแรก"
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
28.11.08
ฮอนด้า ไม่ขาดทุน แต่เซ็งกำไรหด
แม้จะไม่ถึงกับตกอยู่ในสภาพขาดทุน แต่ฮอนด้า มอเตอร์ก็อาจเกิดสภาพกำไรลดลงจากปี 2007 เมื่อมีการเปิดเผยว่าในตอนนี้รายได้ของบริษัทกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากค่าเงินที่ผันผวน, ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น และยอดขายที่ลดลงในตลาดอเมริกาเหนือ
Honda Ridgeline
ฮอนด้าเปิดเผยว่าตัวเลขรายได้สุทธิของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีธุรกิจ 2008 (เริ่มปีธุรกิจในวันที่ 1 เมษายน) ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน ตัวเลขรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 39,600 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 40.9% ส่วนรายได้ทั้งหมดก่อนหักภาษีอยู่ที่ 27,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 900,900 ล้านบาท ลดลง 4.9% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน
สำหรับยอดขายรถยนต์ของฮอนด้านับจากเดือนมกราคม-กันยายนในปีนี้ในตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 935,000 คัน ซึ่งมีระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ ตลาดรถยนต์ญี่ปุ่นมีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกากลับลดลง ซึ่งแม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมธุรกิจแล้ว ยอดขายของฮอนด้าอาจไม่ลดลงมากนัก แต่ทางบริษัทก็ค่อนข้างไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ทำให้ฮอนด้าตั้งเป้าในการทำรายได้สุทธิเอาไว้เพียง 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 171,600 ล้านบาท หรือลดลงจากปีที่แล้วถึง 19.2% ในขณะที่การตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกยังเหมือนเดิม ซึ่งฮอนด้าหวังว่าในปีนี้จะสามารถทำตัวเลขได้ 4.01 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 90,000 คัน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
27.11.08
Toyota Prius 2010 จริงหรือเท็จ เถียงกันไม่จบ
เพราะทันทีที่ภาพชุดนี้หลุดออกมาสู่โลกไซเบอร์สเปซ ก็เกิดเสียงคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าสุดท้ายแล้วเป็นภาพของจริงที่หลุดออกมา หรือใครเล่นตลกนำภาพรถยนต์ที่มีขายอยู่ในตลาดอยู่แล้วมาดัดแปลงผ่านโปรแกรมแต่งภาพด้วยฝีมือสุดเซียน
แน่นอนว่าในตอนแรกทางโตโยต้าปฏิเสธว่าภาพที่เห็นอยู่นี้เป็นคันจริง แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าหลายเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวรถยนต์จะยอมรับว่าเป็นคันจริงของ พริอุสใหม่ ที่จะเปิดตัวในดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2009 ต้นเดือนมกราคมนี้ ก่อนขายจริงในช่วงปลายปีเดียวกัน แถมยังมีพยานบุคคลที่ไม่ระบุชื่อยืนยันว่าเคยเห็นคันจริงแบบไกลๆ มาแล้ว ซึ่งเหมือนกับภาพที่เห็นอยู่นี้
ตัวรถมาในแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเหมือนกับ 2 รุ่นที่ผ่านมา ส่วนรายละเอียดของรูปลักษณ์ด้านหน้าถือเป็นการพลิกโฉม แต่ที่ชนกันอย่างจังคือ ไฟหน้าของพริอุสใหม่ดันมีลักษณะคล้ายกับนิสสัน แม็กซิมา และ 370Z ที่เพิ่งเปิดเผยภาพคันจริงออกมาให้เห็นไม่นานนี้...งานนี้ได้มีกระแสการวิเคราะห์และวิจารณ์กันกระหึ่มเว็บว่าใครลอกใครกันแน่
รายละเอียดของตัวรถยังไม่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้ แต่พริอุสใหม่จะยืนยันแนวคิดเดิมในการเป็นรถยนต์แบบไฮบริดที่มีการทำงานในแบบผสมระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยคาดว่าในตอนนี้ยังไม่มีการกลายพันธุ์มาเป็นรูปแบบ Hybrid แบบ Plug-in เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าได้ เหมือนกันต้นแบบที่กำลังนำออกมาแล่นทดสอบในยุโรปและกำลังวางแผนให้เช่าใช้ในรูปแบบ Fleet
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
26.11.08
สัปดาห์ร้อน 3ค่ายรถ แห่เปิดตัว ทิ้งโค้ง
ตลาดรถยนต์คึกคัก นิสสัน ฮอนด้า และฟอร์ด พร้อมใจเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ไล่เรียง 3 วันติดในสัปดาห์เดียวกัน ประเดิมด้วย“นาวารา คาลิเบอร์ ใหม่” ปิกอัพขับเคลื่อนสองล้อ 144 แรงม้า แต่รูปลักษณ์บึกบึนสไตล์ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมีให้เลือกทั้ง คิงส์แค็บราคา 6.39 แสนบาท และดับเบิ้ลแค็บ 7.15 แสนบาท ด้านเก๋งคอมแพกต์ซัดกันสนุก ทั้ง ซีวิค-โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์ ลุยตลาดพร้อมๆกัน โดยค่ายแรกถอดแบบมาจากโฉมญี่ปุ่น พร้อมเสริม Keyless เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ราคาปรับเพิ่มหลักหมื่นบาท ส่วนฟอร์ด ชูเครื่องยนต์ดีเซล เกียร์ระบบใหม่พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด หวังกระตุ้นตลาดโค้งสุดท้ายของปีอันเป็นฤดูกาลขาย
ฟรอนเทียร์ นาวารา คาลิเบอร์
เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนกับสัปดาห์ร้อนๆ เมื่อ 3 ค่ายรถยนต์แห่เปิดรถใหม่ หวังสร้างกระแสช่วงชิงพื้นที่ข่าว ก่อนนำไปเปิดตัวกับสาธารณะชนในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่จะเริ่มขึ้นปลายเดือนนี้ ไล่เรียงตั้งแต่นิสสันที่วันนี้(5 พ.ย.) ส่งปิกอัพ ฟรอนเทียร์ นาวารา คาลิเบอร์ ถัดมา(6 พ.ย.)เป็นคิวฮอนด้า กับ ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์ และปิดท้ายวันศุกร์(7 พ.ย.)ด้วย ฟอร์ด โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์
เริ่มกันที่ค่ายแรก“นิสสัน”ที่ทนความหอมหวนของตลาดปิกอัพขับเคลื่อนสองล้อแบบยกสูงไม่ไหว จัดการเสริมรุ่น ฟรอนเทียร์ นาวารา คาลิเบอร์ ใหม่ ด้วยรูปลักษณ์โดดเด่นบึกบึนตามสไตล์ปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง โป่งล้อโตๆ บันไดข้างสไตล์ออฟโรด กันชนหลัง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ประกบยางขนาด 255/70R16 โดยมีให้เลือกทั้งตัวถัง คิงส์แค็บ(เปิดได้แบบตู้กับข้าว) และดับเบิ้ลแค็บ
ด้านขุมพลัง YD25DDTi คอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็กชั่น 144 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 356 นิวตันเมตร เทอร์โบแบบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด(ไม่มีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ) ขณะที่โครงสร้างแบบแชสซีส์เดี่ยวขนาดใหญ่ เพิ่มพื้นที่หน้าตัดและความหนาของเฟรมโดยทำจากเหล็กกล้าขึ้นรูปประกบ 2 ชั้น ชิ้นเดียวยาวตลอดในจุดที่ต้องรับน้ำหนักสูง ระบบรองรับหน้าเป็นแบบ อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง หลังแหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ ซึ่งจะวางแหนบอยู่ใต้เพลา ต่างจากรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่วางแหนบเหนือเพลา
นอกจากนี้นิสสันยังใช้ พรีเซนเตอร์ใหม่ “ติ๊ก” เจษฏาภรณ์ ผลดี กับแคมเปญโฆษณาภายใต้แนวคิด “ความท้าทายใหม่ แห่งป่าคอนกรีต” เพื่อสื่อภาพลักษณ์ของรถปิกอัพสไตล์หรูสำหรับคนเมือง...ทั้งนี้ ฟรอนเทียร์ นาวารา คาลิเบอร์ คิงส์แค็บ สนนราคา 6.39 แสนบาท และดับเบิ้ล แค็บ ราคา 7.15 แสนบาท
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของค่ายรถปิกอัพเบอร์ 3 เมืองไทย ที่ต้องยอมรับว่ายุคนี้เส้นเลือดใหญ่ของบริษัท คือ ฟรอนเทียร์ นาวารา ส่วนการเสริมรุ่น “คาลิเบอร์” ก็น่าจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค อันจะมีผลกับการประคองยอดขายในยุคตลาดปิกอัพซบเซาได้เป็นอย่างดี
ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์
กลับมาที่ตลาดเก๋งคอมแพกต์ โดยเฉพาะฮอนด้า ซีวิค ที่เดิมก็ขายดีเป็นเท่น้ำเทท่าอยู่แล้ว ล่าสุดสร้างความสดใหม่ด้วย การไมเนอร์เชนจ์ ที่ลอกโฉมญี่ปุ่นมาเลย โดยจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญก็มีทั้งกระจังหน้า กันชนหน้าใหม่ รับไฟตัดหมอกทรงรี (เดิมเรียวยาว) ไฟหน้าทรงเดิมแต่รายละเอียดในโคมปรับให้สีเข้มขึ้น(เดิมเป็นสีเงิน)ตามตัวแรงไทป์ อาร์ ส่วนไฟท้ายทรงเก่า แต่ไฟภายใน 2 ดวงดูมีเหลี่ยมมุมไม่กลมเหมือนเดิม และเสริมไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ขณะที่ล้อแมกอัลลอยลายใหม่จะเปลี่ยนเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เท่านั้น
ภายในไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่ที่เด่นๆคือการเพิ่มออปชั่นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง กุญแจเปิด-ปิด สตาร์ทรถอัจฉริยะ (Keyless) ที่จะมาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ทั้งยังอินเทรนด์กับการเสริมรุ่นระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ในรุ่นท็อปของทั้งสองเครื่องยนต์ มาเป็นทางเลือกให้ลูกค้าด้วย
ส่วนเครื่องยนต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงไว้ด้วยขุมพลังเบนซิน i-VTEC ขนาด 1.8 ลิตร 140 แรงม้า และ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 5 สปีด ส่วนราคาน่าจะมีการปรับเพิ่มจากเดิมเป็นหลักหมื่นบาทแล้วแต่รุ่น
ด้านคู่แข่งฟอร์ด ไม่ยอมน้อยหน้า เตรียมส่งรุ่น ไมเนอร์เชนจ์ ของ โฟกัส ลงประกบเช่นกัน โดยจะประเดิมกับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล TDCi 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ดับเบิ้ลคลัทซ์ มีทั้งตัวถังซีดาน และแฮทซ์แบ็ก 5 ประตู คาดราคาประมาณ 1.1 ล้านบาท ก่อนจะเปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์เบนซินอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008
โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์
โดยรูปโฉม “เคเนอติก ดีไซน์” อันเป็นแนวทางการออกแบบของรถยนต์ฟอร์ดรุ่นใหม่ๆ ทั้งไฟหน้าใหม่ รับกับฝากระโปรงหน้าทรงใหม่ที่โค้งมนมากขึ้น กระจังหน้าใหม่ พร้อมช่องระบายลมทรงสี่เหลี่ยมคางหมูใต้กันชน ภายในเพิ่มความอเนกประสงค์ทั้ง คอนโซลกลางที่พนักแขนปรับเลื่อนได้ 80 มม. ช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง ขณะที่แผงประตูด้านหน้ามีที่ว่างวางขวดน้ำได้
ขณะเดียวกันฟอร์ดยังเสริมรุ่นประหยัด “แอมเบียนต์” ตัวถังซีดาน พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร เกียร์ธรรมดา 5 สปีด คาดราคาไม่ถึง 8 แสนบาท ส่งผลให้ปีหน้า โฟกัส มีรุ่นย่อยหลากหลายรองรับความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น
...ทั้งหมดเป็นการขยับปรับตัวของ 3 ค่ายรถยนต์ ที่ทยอยส่งโปรดักต์ใหม่ๆ กระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่วนใครนิยมชมชอบแบบไหนรุ่นใดเลือกซื้อกันตามสะดวก
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
25.11.08
โตโยต้าไม่ปลดคนงานปิกอัพยักษ์เอสยูวีแบนเข็มส่งออก
ตลาดหดตัวแถมยอดขายหล่นวูบ ทั้งยังถูกรุมเร้าด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ แต่โตโยต้าก็ยังหาทางออกให้กับเอสยูวีและปิกอัพไซส์ใหญ่ของตัวเอง ด้วยการตัดสินใจส่งออกทุนดราและผลผลิตที่ใช้พื้นฐานเดียวกันอย่างเซควอญ่าออกไปยังตลาดนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทางออกที่ทำให้คนงานโล่งใจ เพราะโตโยต้ายังไม่ตัดสินใจปลดคนงานในโรงงานที่รับผิดชอบการผลิตรถยนต์ประเภทนี้
โตโยต้า เซควอญ่า
โตโยต้าเปิดเผยว่า ในตลาดตะวันออกกลางมีความต้องการเซควอญ่าในปริมาณ 15,000 คันต่อปี ขณะที่ทางละตินอเมริกาถือเป็นตลาดส่วนน้อยแต่ก็ยังมีความต้องการพอประมาณ โดยคาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 150 คันต่อปี โดยที่ทุนดราจะถูกส่งขายเฉพาะตลาดละตินอเมริกาเพียงแห่งเดียวด้วยตัวเลขประมาณ 1,500-2,000 คันต่อปี และจะเริ่มส่งออกในช่วงเดือนธันวาคมนี้
ในปีนี้ตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาโดนมรสุมทั้งพิษเศรษฐกิจและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อช่วงต้นปีจนถึงกลางปีกระหน่ำจนทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าในปีนี้ตัวเลขยอดขายรวมทั้งปีไม่น่าจะถึง 14 ล้านคัน ในขณะที่ตลาดเอสยูวีและปิกอัพดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่ารถยนต์นั่ง เพราะจากขนาดตัวถังที่ใหญ่และกินน้ำมันมากทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่หันไปซื้อรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ไม่ใหญ่มากนักมาใช้งานแทน
นั่นจึงทำให้ทั้งจีเอ็ม, ฟอร์ด และไครสเลอร์ถึงกับประกาศลดกำลังการผลิตรถยนต์ประเภทนี้ รวมถึงมีการสั่งปิดโรงงานบางแห่งเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการของตลาดที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โตโยต้าประกาศหยุดพักการผลิตของทั้งทุนดราและเซควอญ่าในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนเพราะปัญหาความต้องการของตลาดลดลง ก่อนที่จะมาเริ่มการดำเนินงานประกอบอีกครั้ง
การตัดสินใจขยายตลาดในครั้งนี้ก็เพื่อช่วยรักษางานให้กับคนงาน และเป็นการขยายแนวรุกใหม่ๆ กับตัวลุยคันโตทั้ง 2 รุ่นที่แต่เดิมถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ
สถานการณ์ของทุนดราดูเหมือนว่าในช่วง 3 เดือนแรกของปีจะไปได้ดีเมื่อมียอดขายต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ นับจากเดือนเมษายน เพราะยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมหนักที่สุดเพราะว่ายอดขายลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในระดับ 50% ก่อนที่โตโยต้าจะตัดสินใจหยุดการผลิตชั่วคราว
ทุนดราเป็นปิกอัพที่มีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดในไลน์ผลิตของโตโยต้า โดยถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 เพื่อขายในอเมริกาเหนือโดยเฉพาะและเป็นคู่ปรับของฟอร์ด เอฟ-150, เชฟโรเลต ซิลเวอราโด และจีเอ็มซี เซียร์รา ซึ่งรุ่นปัจจุบันเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 เปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2007 และไลน์ผลิตอยู่ที่เมืองพรินซ์ตัน อินเดียนา และซานอันโตนิโอ เท็กซัส ส่วนเซควอญ่าเป็นเอสยูวีที่ใช้พื้นฐานเดียวกับทุนดรา เปิดตัวเมื่อต้นปี 2008 และมีไลน์ผลิตอยู่เมืองพรินซ์ตัน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
24.11.08
ฟอร์ดเสริมโฟกัส รุ่นประหยัด
“ฟอร์ด” สถานการณ์ปิ่มน้ำ หลังปิดไตรมาส 3 อาการสาหัสยอดขายตกกว่า 36% ดิ้นอีกเฮือกด้วย โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์ เตรียมเปิดตัว 7 พฤศจิกายนนี้กับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล พร้อมเกียร์ พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ดับเบิ้ลคลัทซ์ คาดราคา 1.1 ล้านบาท ชูภาพลักษณ์สมรรถนะ-ประหยัดน้ำมัน ก่อนรุ่นเครื่องยนต์เบนซินจะแนะนำในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป พร้อมเสริมรุ่นประหยัด ตัวถังซีดาน เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ราคาไม่ถึง 8 แสนบาท
ด้านปิกอัพยังไม่ฟื้น ทั้งยังโดนสองค่ายยักษ์ทุ่มเงินอัดโฆษณา-แคมเปญ เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนเปิดตัว เรนเจอร์ ใหม่ ไปงานมอเตอร์โชว์ 2009 บิ๊กบอส “สาโรช” เผยปีหน้าเผาจริง เตรียมรัดเข็มขัด คุมสต็อก และเข้มกับสถาบันการเงิน หวั่นปัญหายึดรถ
โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์
หลังปิดไตรมาส 3 ตลาดรถยนต์เมืองไทยด้วยยอดขาย 4.61 แสนคัน โต 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว(4.51 แสนคัน) โดยปัจจัยลบที่กระหน่ำซ้ำตลอดปี ถือเป็นสิ่งที่ทุกค่ายรถไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ด้วยความพร้อมที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นแผนงานของบริษัท-การปรับตัวให้ทันสถานการณ์ โดยมีเงื่อนไขกำหนดอย่างงบประมาณ และโปรดักส์ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการเอาตัวรอด และเป้าหมายยอดขายในบั้นปลาย
9 เดือนแรกผ่านพ้น และเมื่อเทียบยอดขายกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ปรากฏว่า“ฮอนด้า”ถือเป็นค่ายรถยนต์ที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 32.56% ตามด้วยเชฟโรเลต 16.16% ขณะที่ยักษ์ใหญ่ โตโยต้า อีซูซุ ติดลบ 1.87% และ 1.61% ตามลำดับ ด้านนิสสันลบ 12.08% เช่นเดียวกับมิตซูบิชิที่ขายลดลงไป 7.75% ส่วนอาการหนักสุดน่าจะเป็นบิ๊กจากแดนมะกัน “ฟอร์ด”ที่ยอดขายรวมตกกว่า 36%
ขณะเดียวกันฟอร์ดอเมริกายังประสบปัญหาการขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ทั้งยังเจอวิกฤตการเงินในบ้านตัวเองเล่นงาน จนราคาหุ้นสาละวันเตี้ยลงเป็นประวัติการณ์ แต่ผู้บริหารระดับสูงในไทยยังประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ทั้งหลายทั้งปวงไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย และยังเดินหน้าตามแผนลงทุนที่วางไว้
สาโรช เกียรติเฟื่องฟู
“ปัญหาของฟอร์ดในอเมริกา ไม่มีผลกระทบกับ ฟอร์ด ประเทศไทย เนื่องจากเงินลงทุนที่ประกาศออกมา ได้ลงทุนไปเรียบร้อยแล้ว โดยโรงงานใหม่(AAT ระยอง) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าต้นปี 2553 จะเริ่มเดินสายการผลิตเฟียสต้าได้ตามกำหนด” สาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวกับ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”
สำหรับ “เฟียสต้า”รถยนต์ซับคอมแพกต์รุ่นใหม่ ที่ฟอร์ดถือเป็น Global Car ซึ่งในยุโรปเป็นภูมิภาคแรกที่เปิดตัวทำตลาดไปเมื่อเร็วๆนี้ จากนั้นจะทยอยผลิตและเปิดตัวทั่วโลก โดยสาโรช เปิดเผยว่า ด้วยการเป็นรถโมเดลใหม่ทั้งหมด ดังนั้นความพร้อมของผู้ผลิตชิ้นส่วนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันพวกแม่พิมพ์ หรือส่วนประกอบต่างๆ ก็เพิ่งทยอยส่งมา เมื่อรวมกับความพร้อมของโรงงานใหม่ จึงคาดว่า เฟียสต้า จะทำตลาดได้ในไตรมาสแรกปี 2553 (หลัง มาสด้า 2 ที่คาดว่าจะทำตลาดช่วงปลายปี 2552)
นั่นเป็นแผนงานของเฟียสต้า ซึ่งถือเป็นความหวังใหม่ของฟอร์ดในอนาคต แต่ในส่วนคอมแพกต์คาร์คู่บุญ “โฟกัส” ที่ยอดขายดูไม่ค่อยสวยงามตามหวังนัก ก็เตรียมไมเนอร์เชนจ์ และมีคิวเปิดตัว 7 พฤศจิกายนนี้ โดยจะแนะนำเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล เกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ก่อน
“ต้นเดือนพฤศจิกายน เราเตรียมเปิดตัว โฟกัส ดีเซล ที่มาพร้อมสมรรถนะจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล แรงบิดมหาศาล320 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด แบบดับเบิ้ลคลัทซ์ เพิ่มประสิทธิภาพการขับ พร้อมการประหยัดน้ำมันระดับ 17 กิโลเมตรต่อลิตร ขณะเดียวกันยังมากับรูปลักษณ์ใหม่ (ไมเนอร์เชนจ์) ตัวถังมีให้เลือกทั้ง แฮทซ์แบ็ก 5 ประตู และ ซีดาน ส่วนราคาน่าจะอยู่ประมาณ 1.1 ล้านบาท ”นายสาโรช กล่าวและว่า
โฟกัส ดีเซล พร้อมเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในตลาด และถือเป็นรถที่เข้ามาสร้างภาพลักษณ์ให้ฟอร์ด มากว่าจะหวังยอดขาย โดยล็อตแรกนำเข้ามาจากประเทศฟิลิปปินส์มีจำนวนไม่มาก เป็นแค่หลัก 10 คันเท่านั้น และจะพร้อมส่งมอบได้ตั้งแต่งานมอเตอร์เอ็กซ์โปเป็นต้นไป
“ส่วนโฟกัส ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน บริษัทเตรียมเปิดตัวพร้อมเคาะราคาอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่จัดระหว่าง 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม พร้อมกันนี้ยังจะเพิ่มรุ่นย่อยในตัวถังซีดาน เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ซึ่งในไลน์ของเครื่องยนต์เบนซินทั้งหมดจะส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้า” นายสาโรช กล่าว
ประเด็นสำคัญที่ฟอร์ด เสริมรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร เกียร์ธรรมดาเข้ามา เพราะในปัจจุบันค่ายรถแดนมะกันไม่มีรถยนต์นั่งราคาต่ำกว่า 8 แสนบาททำตลาดเลย ซึ่งตลาดเก๋งที่เติบโตสูงขึ้นในปีนี้ เกินกว่า 50% เป็นสัดส่วนของรถราคาต่ำกว่า 8 แสนบาท ซึ่งรุ่นย่อยที่คาดว่าจะใช้ชื่อ แอมเบียนต์ (Ambiente) น่าจะเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนของการระบาย โฟกัส รุ่นเก่า ที่เหลือเพียง 100-200 คันนั้น ฟอร์ดก็ทำแคมเปญ ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง โดยสาโรชเชื่อว่าถึงสิ้นปีคงหมดเกลี้ยงพอดี
ทั้งหมดเป็นแผนงาน ในเซกเมนท์รถยนต์นั่งของฟอร์ด แต่ในส่วนปิกอัพ ที่ปีนี้ตลาดซบเซาจากความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วงต้นปีถึงกลางปีจน ทำให้ตลาดรวมเมื่อปิดไตรมาส 3 ยอดขายตก 9.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และในส่วนของฟอร์ดเองก็สาหัสไม่แพ้กัน เมื่อทำยอดขายได้เพียง 5,803 คัน ลดลงกว่า 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ประเด็นนี้ สาโรช กล่าวว่า ต้องยอมรับสภาพเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน มีผลโดยตรงกับยอดขายปิกอัพ ประกอบกับสองค่ายผู้นำตลาด มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ พร้อมกระหน่ำแคมเปญและโฆษณาอย่างหนัก จึงทำให้บริษัทต้องเลื่อนแผนการเปิดตัว เรนเจอร์ ไมเนอร์เชนจ์ ออกไปเป็นปีหน้า
“ตอนแรกเราเตรียมเปิดตัว เรนเจอร์ ไมเนอร์เชนจ์ ปลายปีนี้ แต่จากสถานการณ์ตลาดไม่เอื้ออำนวย บวกกับการที่สองค่ายใหญ่ทุ่มงบประมาณทุกด้านเพื่อรักษายอดขาย ซึ่งถ้าเราไม่แข็ง หรือเสียงไม่ดังจริง คงไม่อาจสร้างกระแสให้ปิกอัพใหม่ได้ และเหมือนเป็นการทุ่มงบลงไป แล้วได้ผลกลับมาไม่คุ้มค่า ดังนั้นจำเป็นต้องเลื่อนการทำตลาด เรนเจอร์ ใหม่ไปเป็นต้นปีหน้า ซึ่งการสรุปแผนล่าสุดคาดว่า จะเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ 2009 (เดือน มีนาคม-เมษายน)”
ปิกอัพ เรนเจอร์ ต้องเลื่อนการทำตลาดรุ่นไมเนอร์เชนจ์ไปปีหน้า จากกำหนดเดิมมีคิวเปิดตัวปลายปีนี้
รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากสภาพเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ซบเซา ทำให้ยอดขายของบริษัทที่ทำได้เฉลี่ยเดือนละ 800-850 คัน นั้นถือว่าน่าพอใจแล้ว แต่คงต้องทำงานหนักต่อไป ส่วนตลาดรวมเมื่อถึงสิ้นปีน่าจะปิดเพียง 6.3 แสนคัน ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ส่วนปีหน้าคาดว่าสถานการณ์จะแย่กว่านี้
“ปีหน้าเชื่อว่าวิกฤตเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ตลาดรถยนต์ชะลอตัวแน่นอน แม้ราคาน้ำมันจะลดลง แต่รายได้คนก็ลดลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรที่ราคาพืชผลลดลง การท่องเที่ยว-การส่งออกชะลอตัว ส่วนการเมืองที่อึมครึมยังไม่รู้ว่าอนาคตจะจบรูปแบบใด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นจำเป็นต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมการควบคุมรายจ่าย ควบคุมสต็อกให้เหมาะสม ขณะเดียวกันต้องพูดคุยกับสถาบันการเงินมากขึ้น”
“ปัจจุบันมีการจัดสินเชื่อโดย ฟอร์ด ลิสซิ่ง สัดส่วน 25-30% ของยอดขายทั้งหมด ดังนั้นเราต้องผูกสัมพันธ์กับสถาบันการเงินอื่นๆให้มากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระวังการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงการทำแคมเปญที่สมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสีย การตามยึดรถ อันจะมีผลร้ายแรงตามมา”สาโรช กล่าวสรุป
...ทั้งหมดเป็นแผนงานของ ฟอร์ดประเทศ ไทย ที่เตรียมรับมือกับสถานการณ์ตลาดปลายปีนี้ ก่อนเผาจริงปีหน้า ส่วนจะประคอง เอาตัวรอดได้มากน้อยแค่ไหน ยอดขายจะเป็นคำตอบ
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
22.11.08
ออดี้ เสริมครบไลน์
ออดี้ เสริมครบไลน์ ไม่ลืมR8-ซีตรอง ลุยรถตู้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดรถหรูค่อนข้างคึกคักพอสมควร เมื่อมีการเปิดตัวรถใหม่จากสองค่าย แถมยังเป็นรถยนต์ในเซกเมนต์เดียวกัน เปิดศึกปะทะแบบเต็มๆ กันเลย นั่นคือ ออดี้ เอ4 กับ เลกซัส ไอเอส250 โดยเฉพาะค่ายแรกถือว่าเป็นการกลับมารุกตลาดอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปตลอดปีนี้ เพราะมีการปรับโครงสร้างในกลุ่มยนตรกิจใหม่ เพื่อจัดสรรปันส่วนสมบัติระหว่างพี่น้องในตระกูล ลีนุตพงษ์ ส่งผลให้แบรนด์ ออดี้ ต้องมีการปรับตามไปด้วย โดยได้เข้าไปอยู่ในโครงสร้างใหม่
ยนตรกิจคอร์ปอเรชั่น แทนชื่อเดิมยนตรกิจกรุ๊ป ด้วยการดูแลแบรนด์ออดี้, ซีตรอง, เกีย, เซียท, มิตซูโอกะ,นาซ่า และสโกด้า ภายใต้การนำของ "สรวิศ-วิเชียร ลีนุตพงษ์"ส่วนแบรนด์โฟล์คสวาเกน และเปอโยต์ พี่น้องบางคนได้แยกออกไปทำเอง
สำหรับออดี้เดิมอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ไทยยานยนต์ จำกัด บริษัทในเครือยนตรกิจกรุ๊ป ร่วมกับโฟล์คสวาเกน ดังนั้นเมื่อออดี้แยกออกมาอยู่ในโครงสร้างใหม่ จึงได้ตั้งบริษัทใหม่ "เยอรมัน มอเตอร์ เวอร์ค" ขึ้นมารองรับการนำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ออดี้ในไทยแทน โดยอยู่ในเครือยนตรกิจคอร์ปอเรชั่นตามโครงสร้างใหม่
"ต่อไปนี้จะเห็นการทำตลาดของออดี้ชัดเจนมากขึ้น หลังจากได้มีการปรับโครงสร้างในกลุ่มยนตรกิจลงตัวเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ออดี้ เอจี เยอรมนี อย่างเต็มที่ ซึ่งตรงนี้จะทำให้การขยายตลาดของออดี้ในไทยชัดเจนมากยิ่งขึ้น"
นั่นคือคำกล่าวของ "กิตติ มาไพศาลสิน" กรรมการบริหาร บริษัท เยอรมัน มอเตอร์ เวอร์ค จำกัด พร้อมย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทแม่ว่า ในการเปิดตัวออดี้ เอ4 ใหม่ล่าสุด เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร TFSI ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า จะเห็นว่าเปิดราคาจำหน่ายเพียง 2.89 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารุ่นเดิมที่มีราคา 3.29 แสนบาท เป็นเพราะการสนับสนุนราคาของ ออดี้ เอจี ในช่วงแนะสู่ตลาด นั่นแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่ดีระหว่างบริษัทกับบริษัทแม่ ออดี้ เอจี
เอ4 2.0 ทีดีไอไม่เพียงออดี้ เอ4 เท่านั้น ได้มีการพูดคุยว่าจะให้การสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ตลาดในประเทศไทยกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนของตัวสินค้าที่จะเพิ่มรถใหม่เข้ามาทำตลาดในไทย ให้ครบไลน์หลักๆ ของออดี้ จากปัจจุบันที่มีทำตลาดอยู่ 4 รุ่น คือ ออดี้ เอ4, เอ6, ทีที และคิว7
ทั้งนี้กิตติบอกว่า มีรถยนต์หลายรุ่นที่กำลังเจรจา เพื่อนำเข้ามาทำตลาดในไทยเร็วๆ นี้ หรือภายในปีหน้า อย่างออดี้ เอ4 ทีดีไอ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 143 แรงม้า ที่ 4200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร เพื่อเป็นการเข้ามาเสริมไลน์ของรุ่นเอ4 ให้ครอบคลุมและสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น หลังจากได้เปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์เบนซินไปแล้ว โดยคาดว่าราคาในช่วงเปิดตัวจะไม่เกิน 3 ล้านบาท
นอกจากนี้ในช่วงต้นปีหน้า ออดี้จะมีการเสริมไลน์รถยนต์นั่งซีดานหรูให้ครอบคลุม ด้วยการเตรียมนำเข้ารถยนต์นั่งรุ่นท็อปสุด "ออดี้ เอ8" เข้ามาทำตลาดในไทยด้วย ซึ่งจะทำให้ออดี้มีรถที่ตอบสนองลูกค้าได้หลากหลาย สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยเอ8 เป็นรถหรูหราขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับ เมอต์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7
หรูรุ่นใหญ่ เอ8
"ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่รุ่น อาร์8" สุดยอดซูเปอร์คาร์ของออดี้ ได้มีการพิจารณานำเข้ามาทำตลาดในไทยปีหน้าเช่นกัน และในอนาคตออดี้ก็มีแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้า ให้ครอบคลุมตัวหลักๆ ที่มีในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี หรือแม้แต่รถเล็กอย่าง ออดี้ เอ3 หรือเอ1 ซึ่งกำลังมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้อยู่เช่นกัน" กิตติกล่าว
ส่วนแผนการทำตลาดของออดี้ กิตติบอกว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบเช่นกัน โดยจะเห็นจากการจัดกิจกรรมการตลาด ที่จะเน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแท้ๆ ได้แก่ กลุ่มนักบริหารคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งจะเห็นจากรูปแบบการจัดกิจกรรมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปร่วมงานแฟชั่นปาร์ตี้ หรือจัดแข่งขันกอล์ฟ ออดี้ ควอตโตร คลับ เป็นต้น
นั่นคือความเคลื่อนไหวของค่ายรถ"ออดี้" ซึ่งได้ส่งสัญญาณว่า นับจากนี้ไปพร้อมที่จะรบอย่างรูปแบบเพื่อกลับมาโลดเล่นในตลาดรถหรูของประเทศไทยอีกครั้ง
ซูเปอร์คาร์ R8
ไม่เพียงออดี้เท่านั้น รถหรูอีกแบรนด์ในเครือยนตรกิจอย่าง "ซีตรอง"ได้มีการเตรียมที่จะเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าเช่นกัน ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่เมืองทองธานี ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมนี้ หลังจากเงียบเหงาไปสักระยะในช่วงปรับโครงสร้างของกลุ่มยนตรกิจ
โดยมีรายงานว่า ผู้บริหารที่รับผิดชอบแบรนด์ซีตรอง กำลังพิจารณาที่จะนำเข้า "ซีตรอง จัมเปอร์" รถตู้ขนาดใหญ่ 12 ที่นั่ง เข้ามาทำตลาดในไทย หลังจากเคยมีข่าวรถรุ่นนี้จะนำเข้ามาทำตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ก็จะชะลอออกไป
มอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 คราวนี้ จึงเตรียมปัดฝุ่นแผนนำเข้ามาทำตลาดใหม่อีกครั้ง เพื่อตอบสนองลูกค้าบางกลุ่มที่ชื่นชอบรถตู้ขนาดใหญ่ แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกิจแต่ก็มีฐานลูกค้าชัดเจน และยังเป็นการเสริมไลน์สินค้าของซีตรองในไทยให้หลากหลายมากขึ้น
ซีตรอง จัมเปอร์
สำหรับซีตรอง จัมเปอร์ เป็นรถตู้ที่ดำเนินงานร่วมกันของ กลุ่มพีเอสเอ (เปอโยต์-ซีตรอง) และเฟียต ซึ่งจะเห็นรถยนต์หลายรุ่นที่ได้ผลิตขึ้นมาจากพื้นฐานเดียวกัน โดยในไทยก็มีให้เห็นอย่างรถตู้อเนกประสงค์ขนาดเล็ก เปอโยต์ พาร์ทเนอร์ และซีตรอง เบอริงโก ซึ่งในส่วนของเปอโยต์ จัมเปอร์ก็เช่นกัน ได้ผลิตจากพื้นฐานเดียวกัน เปอโยต์ บ็อกเซอร์ และเฟียต ดูคาโต้
ซีตรอง จัมเปอร์ เวอร์ชั่นหลักที่ทำตลาดในต่างประเทศ จะเน้นรถตู้เพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก แต่ได้มีรุ่นแบบรถยนต์นั่งเรียกว่า ซีตรอง จัมเปอร์ คอมบิ ด้วยการเจาะหน้าต่างและใส่เบาะนั่ง พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ เฉกเช่นรถตู้หรูทั่วไป โดยรุ่นจัมเปอร์นี้มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร HDi 100 แรงม้า(DIN) และรุ่น 3.0 ลิตร HDi 157 แรงม้า(DIN)
เรียกว่าเริ่มเห็นการขยับตัวของแบรนด์รถหรู ในเครือยนตรกิจกรุ๊ป หรือภายใต้ชื่อโครงสร้างใหม่ "ยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น"กันบ้างแล้ว ซึ่งเชื่อว่าต่อไปน่าจะมีทีเด็ดทยอยออกมาสร้างสีสันและความคึกคักต่อเนื่องแน่นอน
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
21.11.08
ซีวิค ปรับโฉม
วันนี้(6 พ.ย.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวเก๋งคอมแพกต์คู่บุญ “ซีวิค” ที่มาพร้อมการปรับรูปลักษณ์รอบคัน และเสริมระบบนำทางเนวิเกเตอร์แบบทัชสกรีนในรุ่นท็อป(1.8 และ 2.0) ราคาเริ่มต้น 7.49 แสนบาท ถึง 1.101 ล้านบาท
ฮอนด้า ซีวิครุ่นปี 2009 ปรับรูปลักษณ์ภายนอกนิดหน่อย ด้วยกระจังหน้า กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าคมเข้มแบบ Smoked Chrome ไฟท้ายทรงแปดเหลี่ยม ขณะเดียวกันยังเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ เครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงเนวิเกเตอร์แบบสัมผัสหน้าจอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบนี้ในรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์
ฮอนด้า ซีวิค 2009 มีให้เลือกสามรุ่นหลัก คือ ซีวิค S ซีวิค E และรุ่นสูงสุด ซีวิค EL โดยรุ่น S และ E มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ในขณะที่รุ่น EL ใช้เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า ทั้งสามรุ่นสามารถใช้ได้กับแก๊สโซฮอล์ E20 เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด โดยฮอนด้า ซีวิค S รุ่นเดียว ที่มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
ด้านสีมีให้เลือก 6 สี คือ ขาวทาฟเฟต้า เทาบลูอิช (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) ทองโบลด์เบจ (เมทัลลิก) เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) และดำคริสตัล (มุก)
ซีวิค 1.8 S รุ่นเกียร์ธรรมดา ราคา 749,000 บาท (เดิม 732,000 บาท)และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคา 789,000 บาท(เดิม 768,000 บาท) รุ่นเกียร์อัตโนมัติ พร้อมถุงลมคู่หน้า ราคา 831,000 บาท(เดิม 814,000 บาท)
ซีวิค 1.8 E ราคา 909,000 บาท (เดิม 847,000 บาท)มาพร้อมกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ซีวิค 1.8 E Navi ราคา 964,000 บาท ติดตั้งระบบนำทางเนวิเกเตอร์แบบสัมผัสหน้าจอและเครื่องเล่นดีวีดี ทั้งสองรุ่นมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ซีวิค 2.0 EL ราคา 1,046,000 บาท (เดิม1,026,000 บาท)มีสัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 ตำแหน่ง ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบเกียร์ธรรมดา ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รุ่นสูงสุด ซีวิค 2.0 EL Navi ราคา 1,101,000 บาท มีระบบนำทางแบบสัมผัสหน้าจอ เครื่องเล่นดีวีดีและสัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 ตำแหน่ง
ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์ จะจัดแสดงในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008 ระหว่าง 28 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม สำหรับผู้สนใจสามารถสั่งจองได้แล้วที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
20.11.08
ฮอนด้า ซิตี้ เทียบชั้นคอมแพกต์ซีดาน
กระแสรถเล็กมาแรงช่วงวิกฤตน้ำมันราคาแพง ทำให้หลายค่ายปรับตัวหันมาทำรถเล็กกันเป็นทิวแถว สำหรับหนึ่งในค่ายรถที่ถือว่าเป็นเจ้าพ่อรถเล็ก "ฮอนด้า" ไม่น้อยหน้าคู่แข่ง หลังซุ่มเงียบพัฒนา "ซิตี้" ใหม่อยู่นาน โดยใช้ไทยเป็นฐานข้อมูลสำคัญเพื่อวิจัยและพัฒนาซิตี้ให้ตรงความต้องการ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ฮอนด้าได้ฤกษ์เปิดตัวซิตี้ใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมโหมประชาสัมพันธ์ฮอนด้า ซิตี้ผ่านสื่อต่างๆ อย่างล้นหลามและทันทีทันควันหลังการเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน ฮอนด้า จัดทริปทดสอบรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แน่นอน "ผู้จัดการมอเตอริ่ง" เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วย
-ภายนอก สปอร์ตสมส่วน ทีมวิศวกรของฮอนด้า ผู้พัฒนาซิตี้บอกกับเราว่า ดีไซน์โดยยึดแนวคิดมาจากลูกธนู และเป็นการสร้างโมเดลใหม่หมดทั้งคันไม่อ้างอิงหรือดัดแปลงมาจากรถรุ่นหนึ่งรุ่นใดเหมือนรุ่นก่อนหน้าที่พัฒนามาจากรุ่นแจ๊ซ ซึ่งในขั้นตอนนี้ทีมงานส่วนหนึ่งเห็นว่าควรใช้วิธีการดัดแปลงเหมือนเดิม แต่สุดท้ายทีมผู้บริหารทุบโต๊ะ ฟันธง "ต้องพัฒนาเป็นโมเดลใหม่ทั้งหมด" ผลคือพัฒนาควบคู่กันไปกับรุ่นแจ๊ส โดยใช้วิศวกรคนละทีม
ทั้งนี้ทีมพัฒนาฮอนด้า ซิตี้ ทำการบ้านสอบถามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยเป็นหลัก ผลที่ได้คือกว่า 70% ของเจ้าซิตี้ใหม่เป็นการสร้างและออกแบบเพื่อเอาใจลูกค้าคนไทย ส่วนอีก 30%ที่เหลือแชร์กันระหว่างผู้บริโภคในภูมิภาค ซึ่งกระแสตอบรับเป็นอย่างไร ต้องรอคอยรายงานผลยอดขายประจำเดือน โดยมีเป้าหมายหลักคือ โค่นคู่แข่งอย่าง "โตโยต้า วิออส"
สำหรับความเห็นส่วนตัวของเราเกี่ยวกับรูปทรงภายนอกของเจ้าซิตี้ แค่เห็นในรูปก็ประทับใจกับกระจังหน้าและรูปทรงของตัวถัง ส่วนด้านท้ายความรู้สึกแรก "คริส เบงเกิล" หัวหน้าทีมออกแบบรถของค่ายบีเอ็มดับเบิลยู ย้ายมาอยู่ฮอนด้าแล้วหรือ? นี่มัน บีเอ็มซีรี่ส์ 3 ชัดๆ" แต่เมื่อได้มาเห็นตัวจริงบอกตรงๆ ว่า สวยและสมส่วนมากกว่าในรูปอีก
ไฟท้ายมีเหลี่ยมมุม คล้ายกับรถตระกูลวอลโว่ มุมเฉียงของไฟแนวเดียวกับซี-คลาสของค่ายดาวสามแฉก เมื่อรวมกับบั้นทรงคล้ายคลึงใบพัดฟ้าขาว มองในแง่ดีซิตี้ใหม่ก็จะกลายเป็นเสมือนแหล่งรวมรถหรูที่ดูลงตัวไปโดยปริยาย
-ภายใน หรูลูกเล่นเพียบ ออกแบบใหม่หมดเช่นกัน จุดเด่นคือการตัดกรอบกระจกสามเหลี่ยมเล็กของรุ่นเดิมที่เสาเอออก แม้จะมีชิ้นส่วนที่ใช้ร่วมกันกับรถรุ่นอื่นเช่น พวงมาลัย ทรงเดียวกับซีวิค ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะด้วยมาตรฐานของคุณภาพชิ้นงานดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมและเหนือกว่าคู่แข่งทุกค่าย อย่างสัมผัสเป็นรูปธรรมได้ทันที หลังเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร ทั้งคอนโซลหน้า แผงข้างประตู เบาะนั่ง และที่ประทับใจสุดคือเสียงปิดประตูฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจ
สีของภายใน รุ่นท๊อป(SV)จะเป็นสีดำ ส่วนรุ่นอื่นจะเป็นสีเบจ ตัวเบาะหลังนอกจากจะพับได้แบบ 60:40 (เชื่อมต่อกับที่เก็บสัมภาระด้านท้าย)แล้ว ยังมีที่เก็บของใต้ที่นั่งเป็นลูกเล่นเปี่ยมอรรถประโยชน์ ส่วนทีเด็ดกับลูกเล่นใหม่ล่าสุดคือ ชุดเครื่องเสียงรองรับ i-Pod และช่องยูเอสบีรองรับ MP3 โดยไม่มีเครื่องเล่นซีดี นับเป็นความกล้าเลือกใช้อุปกรณ์ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคซึ่งไม่มีค่ายรถไหนกล้าทำเช่นนี้มาก่อน เรียนตามตรงว่าเราก็รู้สึกเห็นด้วยเนื่องจากส่วนตัวผู้เขียนเองใช้แต่แฟลชไดร์ฟและเลิกพกแผ่นซีดีในรถมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน พื้นที่บรรทุกสำหรับท้ายรถมีมากถึง 506 ลิตร หรือใส่ถุงกอล์ฟขนาดหนา 9" ได้ถึง 4 ใบสบายๆ
-เครื่องยนต์ ตัวเดียวกับแจ๊ซแต่ต่างกัน ซิตี้ยังคงใช้หัวใจแบบเดียวกับรุ่นแจ๊ซ รหัสL15 ขนาด 1.5 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 แต่คราวนี้จะต่างกันด้วยการปรับแต่งค่าต่างๆ ในอีซียู(ECU) ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลสำหรับการจ่ายน้ำมันทำให้ความรู้สึกของการขับแตกต่างกันออกไป พร้อมกับระบบความคุมการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อแบบอีเล็กทรอนิกส์(DBW) ช่วยให้การตอบสนองของคันเร่งแม่นยำมากขึ้น
ด้านระบบส่งกำลังเปลี่ยนจากเกียร์แบบซีวีทีเดิม มาเป็นแบบ อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมลูกเล่นปุ่มปรับเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยหรือ Paddle Shift(เฉพาะรุ่นท๊อป) ซึ่งมีการปรับอัตราทดให้แตกต่างจากรุ่นแจ๊ซด้วยเช่นกัน
สำหรับกล่องอีซียูนั้นโดยทฤษฎีสามารถปรับเปลี่ยนสลับกันใช้งานระหว่างซิตี้กับแจ๊สได้ แต่ในทางปฏิบัติการขับขี่จะไม่ได้ผลอย่างที่โปรแกรมเอาไว้เนื่องจากค่าต่างๆ ในอีซียูจะประมวลผลโดยคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่างทั้งน้ำหนักของตัวรถ และขนาดล้อ เป็นต้น รวมถึงอีซียูของพวงมาลัยและระบบช่วงล่างก็เซ็ตค่าไว้แตกต่างกันด้วย
-สมรรถนะเกาะนุ่มเร่งสนุก ฮอนด้าจัดซิตี้รุ่นท๊อปสุด SV ไว้สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ โดยกำหนดเส้นทางมีทั้งแบบในเมืองรถพลุกพล่าน และถนนโล่งใช้ความเร็วได้ บางช่วงเป็นทางแคบ และทางโค้งเลียบคันคลองเมืองเชียงใหม่ รวมระยะทางประมาณ 100 กม.
รอบแรกผู้เขียนขออาศัยเป็นผู้โดยสารนั่งเบาะหลัง...พอเข้าไปนั่งปุ๊บทีมงานฮอนด้านำเสนอ "เบาะนั่งหลังปรับระดับได้" ซึ่งมีเฉพาะรุ่นท๊อป เราจึงลองปรับดูพบว่าปรับได้ง่ายและช่วยเพิ่มความสบายหากต้องการเอนตัวนอน ส่วนช่องว่างระหว่างเบาะหน้ากับหัวเข่ามีพื้นที่เหลือเฟือแม้จะเป็นคนตัวสูงกว่า 180 ซม. และกว้างกว่าวิออส เรียกว่ารถขนาดคอมแพกต์ของบางค่ายยังเหลือพื้นที่ส่วนนี้น้อยกว่าซิตี้อีก
สำหรับความรู้สึกของการเป็นผู้โดยสารตอนหลัง นั่งนุ่มสบายสไตล์ซิตี้ แตกต่างไปด้วยท้ายไม่มีอาการยวบหรือโยนให้เวียนหัวแม้จะเข้าโค้งด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. บางช่วงผู้ขับวิ่งด้วยความเร็วถึง 150 กม.ชม. เรายังรู้สึกว่ารถวิ่งนิ่ง ไม่ร่อนหรือเด้ง เสียงลมประทะกระจกเริ่มได้ยินเบาๆ เมื่อวิ่งเกิน 90 กม./ชม. มีจุดที่ชอบตรงที่วางแขนของประตูหลังอยู่ในตำแหน่งรับกับแขนพอดี
ในรอบต่อไปเรากลายมาเป็นผู้ขับบ้าง ความรู้สึกแรกหลังกดคันเร่ง ซิตี้ตอบสนองแบบรถผู้ดี คือกดคันเร่งแล้ว ความแรงจะค่อยๆ มา ไม่มีอาการกระชาก หรือดึงแรงแบบหลังติดเบาะ ตรงตามคำบอกเล่าของทีมวิศวกรที่ตั้งใจให้ ซิตี้ เป็นรถคันแรกของมือใหม่และรถของครอบครัว ซึ่งเป็นบุคลิกต่างไปจากรุ่นแจ๊ซที่ตั้งใจเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากกว่า
ด้านระบบเบรกเป็นอีกสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับสื่อมวลชนหลายคนจากน้ำหนักการเบรกพอดี ปราศจากอาการหัวทิ่ม การตอบสนองเบรกเป็นไปตามแรงกดของฝ่าเท้า ส่วนพวงมาลัยแรคแอนด์พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า(EPS) น้ำหนักเบามือ การบังคับควบคุมแม่นยำ รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 5.0 เมตรเหมาะสมกับสภาพและขนาดของถนนเวลากลับรถในบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง
-ถนนชนบทกลับรถได้สบาย เมื่อถึงทางตรงยาวเรามีจังหวะคิกดาวน์ อัตราการเร่งตอบสนองทันใจดี ขับด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. รถวิ่งนิ่ง และเริ่มมีเสียงลม เสียงเครื่องและยางบดถนนรบกวนจากภายนอกเข้ามา หากเร่งรอบเครื่องยนต์เกินกว่า 5,000 รอบ/นาที เสียงดังกระหึ่มเข้ามาในห้องโดยสารพอสมควรแต่จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตัวเก่าหรือคู่แข่ง
เราลองขับทำความเร็วสูงสุดได้ 170 กม./ชม. ตัวรถไม่โคลงเคลงหรือออกอาการลอยลม ยังขับแบบอุ่นใจได้ แถมยังมีพละกำลังเหลือน่าจะวิ่งไปได้เกินกว่านั้น แต่สภาพการจราจรไม่เอื้ออำนวย และเป็นที่น่าสังเกตุช่วงความเร็ว 140 -150 กม./ชม. จะเร่งขึ้นช้า แต่หากความเร็วเลย 150กม./ชม. ไปแล้วความเร็วจะเพิ่มขึ้นเร็วมาก เป็นอาการที่เรียกว่า "รถปลายไหล" ซึ่งตรงกับที่วิศวกรบอกกับเราไว้
สำหรับการเข้าโค้ง สื่อมวลชนที่ร่วมทดสอบกว่า 10 ชีวิตให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เกาะทุกโค้งและหนึบมาก ตัวรถไม่เสียอาการ มีเพียงเสียงยางร้องหากเข้าด้วยความเร็วสูงเกิน โดยช่วงล่างของซีตี้ หน้าเป็นแบบอิสระ แม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังแบบทอร์ชั่นบีมแบบ H-Shape พร้อมเหล็กกันโคลง ปรับแต่งความแข็ง-นุ่มเพื่อการขับในสภาพถนนของไทย
ซึ่งในช่วงของการพัฒนารถ แม้จะวิจัยและพัฒนาในญี่ปุ่น แต่ตัวรถก็มาวิ่งทดสอบจริงในเมืองไทย ชิ้นส่วนต่างๆ ก็ผลิตและประกอบขึ้นที่เมืองไทยตามสเปคของผู้บริโภคชาวไทยต้องการ คือ ทีมวิศวกรจะบินไปมาระหว่างสองประเทศโดยใช้ผลทดสอบจากเมืองไทยไปวิจัยและพัฒนาในญี่ปุ่นเมื่อได้สเปคที่ต้องการ ก็ให้เมืองไทยผลิตแล้วทดสอบ ผลที่ได้จึงตรงกับความต้องการของผู้ใช้รถเมืองไทยอย่างแท้จริง และเป็นที่มาของคำว่า "กว่า 70% ของรถซิตี้ ตั้งใจทำเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ"
เราทดลองขับในโหมด S อัตราเร่งดีขึ้นกว่าโหมด D รอบเครื่องยนต์ทำงานสูงกว่าให้ความสนุกไปอีกแบบ และหากใช้ปุ่มปรับเกียร์ที่พวงมาลัยความรู้สึกในการขับจะเหมือนกับการขับรถเกียร์ธรรมดา เนื่องจากเกียร์จะไม่เปลี่ยนเองแม้เราจะลากรอบสูงจึงถึงเรดไลน์ก็ตาม แต่อีซียูเลือกที่จะตัดรอบเพื่อป้องกันความเสียหายซึ่งอาจจะเกิดกับเครื่องยนต์ได้เมื่อวิ่งด้วยรอบเครื่องที่สูงเกินไป
อัตราการบริโภคน้ำมัน จากที่เราขับแบบตะบี้ตะบันเหยียบเต็มสปีด ตัวเลขแอบมองเห็นแว่บๆ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ประมาณ 10 กม./ลิตรเห็นจะได้ ขณะที่ทีมวิศวกรบอกว่า ซิตี้ประหยัดกว่าแจ๊ซ ประมาณ 5% ด้วยเหตุผลใหญ่ 3 ปัจจัยคือจากการปรับแต่งอีซียู, รูปทรงของรถ(หลักแอร์โรไดนามิก) และน้ำหนักของรถ
สรุป ความรู้สึกโดยรวมของเราต้องบอกว่า"ซิตี้"ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ซับคอมแพกต์ ขณะเดียวกันก็ก้าวไปทาบชั้นพวกรถคอมแพกต์หลายๆรุ่น ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก อรรถประโยชน์ภายใน บวกกับสมรรถนะการขับดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ประกอบกับราคารุ่นท๊อปที่ตั้งไว้ 694,000 บาท และรุ่นล่างสุดเพียง 524,000 บาท ขนาดยังไม่ได้เห็นผลการทดสอบของสื่อต่างๆ หรือรับทราบข้อมูลจากผู้ใช้ ก็มียอดจองเข้ามาแล้วจำนวน 2,500 คันหลังเปิดตัวมา 5 วัน งานนี้ไม่ต้องเอาหมอดูที่ไหนมาฟันธงก็คงพอจะทำนายได้เลยว่า "วิออส" เหนื่อยแน่
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
19.11.08
บีเอฟกู๊ดริชลองเทลที/เอทัวร์จะเรียบจะลุยไปได้ทุกที่
“บีเอฟ กู๊ดริช” ยี่ห้อยางพี่น้องของค่าย “มิชลิน” หลังเงียบหายการทำตลาดยางสมรรถนะสูงสำหรับรถเอสยูวีไปนาน กลับมาคราวนี้ บีเอฟพกพาทีเด็ดใหม่ ในชื่อรุ่น “ลองเทล ที/เอ ทัวร์” มาเผยโฉมสู่ตลาดเมืองไทยหลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว มิชลิน ค่ายผู้พี่ได้เปิดตัวรุ่น ละติจูด ออกสู่ตลาดเรียบร้อย
สำหรับ “บีเอฟ กู๊ดริช ลองเทล ที/เอ ทัวร์” เป็นยางสำหรับรถเอสยูวีที่ใช้งานบนถนนหลวงเป็นหลัก เฉกเช่นรุ่นละติจูด แต่จะทำตลาดต่างกันตรงที่จะจับกลุ่มเป้าหมายเอสยูวีระดับปานกลางไปจนถึงรถกระบะดัดแปลงและรถกระบะแบบยกสูง ด้วยสนนราคาที่ถูกกว่ารุ่นละติจูด และพร้อมกับการเปิดตัว บีเอฟได้จัดให้มีการทดสอบเล็กๆ กับยาง ลองเทล ที/เอ ทัวร์ ซึ่ง “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ไม่พลาดในการเข้าร่วมครั้งนี้
โดยในช่วงแรกเป็นการทดสอบในสถานีที่ถูกจัดเอาไว้ว่า เดิมจะเป็นการลุยถนนลูกรังแบบสุดๆ แต่เนื่องจากฝนตกหนักทำให้แผนเดิมต้องยกเลิกไปกลายเป็นการขับสลาลมบนพื้นหญ้าที่เปียกนุ่มในระยะทางสั้นๆ ความรู้สึกคือยังควบคุมรถได้ดี แม้จะลื่นไปบ้างเล็กน้อยตามสภาพพื้นผิวเฉาะแฉะ
มาในสถานีที่ 2 เป็นการทดสอบแบบออนโรดและจิมคานา เราขอเริ่มที่ออนโรดก่อน ดูจะเป็นการทดสอบเดียวในครั้งนี้ที่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องกับเราเกี่ยวกับยาง บีเอฟ กู๊ดริช ลองเทล ที/เอ ทัวร์ ได้เพราะสภาพถนนปูนซีเมนต์และยางมะตอยไม่เป็นปัญหาแม้ฝนจะตกลงมา
โดยเราขับเจ้าโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น 2.7 วีวีทีไอ(เครื่องยนต์เบนซิน) ปล่อยไหลลงเนินเพื่อฟังเสียงดัง พบว่า มีความเงียบพอๆ กับยางมิชลิน รุ่นละติจูด เลยทีเดียวอาจจะดังกว่าก็เพียงเล็กน้อย โดยรวมถือว่าประทับใจเราครับ ด้านการยึดเกาะถนน ก็ทำได้ดีเช่นกันเราลองวิ่งด้วยความเร็วกว่า 120 กม./ชม. บนถนนสายมิตรภาพ(ในสภาพเปียกแฉะหลังฝนตก) รถขับดีไม่มีการเหินน้ำ หรือแฉลบให้รู้สึกแต่อย่างใด และเสียงยางบดถนนก็ดังเพียงเล็กน้อย ความนุ่มนวลไม่รู้สึกแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ
มาถึงสถานีที่ตั้งใจให้เราทดสอบด้วยการขับจิมคาน่าแข่ง ปรากฏว่า ฝนทำให้สภาพของพื้นผิวฝุ่นดินแดงกลายเป็นดินโคลน ไม่สามารถขับแข่งได้ เพราะแม้แค่ลองขับโดยแชมป์ดริฟท์มืออาชีพ กว่าจะผ่านสภาพสนามออกมาถึงจุดพักรถได้ ยังแทบจะเอาตัวไม่รอด รถวิ่งเลื้อยเป็นเรือไม่สามารถคุมทิศทางได้ดั่งใจ ทั้งนี้เป็นเพราะโคลนที่เข้าไปอุดในยางจนไม่มีดอกเหลืออยู่นั่นเอง
ช่วงบ่ายเป็นสถานีเข้าป่า เราขับรถฟอร์จูนเนอร์ เช่นเดิม(แต่เป็นคนละคัน) แน่นอนว่าต้องใส่ยาง บีเอฟ กู๊ดริช ลองเทล ที/เอ ทัวร์ เข้าไปตะลุยเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เส้นทางเป็นดินโคลนบ้าง ก้อนหินบ้าง สะพานไม้ใผ่บ้าง ครบทุกสภาพการลุยป่า ที่สำคัญขับผ่านลำธารน้ำตกที่ไหลแรงสูงถึงขอบประตูรถด้านล่าง (คือถ้าเปิดประตูน้ำจะท่วมเข้ามาได้ทันที) เพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าลองเทลสามารถตะลุยไปได้ทุกที สุดท้ายเราบอกกับตัวเองว่า แม้ทริปทดสอบนี้จะไม่ได้เห็นสมรรถนะอย่างเต็มรูปแบบของยางตัวนี้ แต่พอจะจับความรู้สึกคร่าวๆ ว่า เจ้าบีเอฟ กู๊ดริช ลองเทล ที/เอ ทัวร์ นั้นเหมาะสมดีกับรถที่ส่วนใหญ่จะขับขี่บนพื้นถนนเรียบ แต่ก็สามารถใช้งานได้โดยไม่เป็นปัญหาหากจำเป็นต้องลุยทางวิบาก
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
มาสด้า 3 มินิไมเนอร์เชนจ์ ปรับนิด นุ่มหน่อย
หลังจากปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปีก่อน มาคราวนี้มาสด้า ประเทศไทย ขอกระตุ้นตลาดให้กับซีดานตัวขายอย่าง “3” อีกครั้ง ด้วยการปรับแบบ “มินิ ไมเนอร์เชนจ์” ก่อนที่จะโฉมโมเดลเชนจ์จะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดโลกปี 2010 ตามการประกาศล่าสุดของทาง มาสด้า มอเตอร์ ที่ญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคชาวไทยที่สนใจ “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” มีเวลาขับเฉิดฉายมากกว่า 1 ปี โดยไม่ตกรุ่นอย่างแน่นอน
สำหรับการปรับโฉมครั้งนี้ ด้านหน้ามิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด มีเพียงด้านท้ายเปลี่ยน กันชนหลัง ทรงสปอร์ตที่ถอดแบบมาจากรุ่น MPS พร้อมกับเปลี่ยนไฟท้ายหันมาใช้แบบ LED และเสริมความสะดวกด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Key Card เปิด-ปิดรถอัตโนมัติ-สตาร์ทรถเพียงบิดปุ่ม เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเท่านั้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ขุมพลัง MZR 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว มีให้เลือกขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และ 2.0 ลิตรให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 และระบบคันเร่ง Drive-By-Wire ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดและธรรมดา 5 สปีด
ซึ่งมาสด้าเชิญ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เข้าร่วมทดสอบ แม้ก่อนที่เราจะตอบรับเข้าร่วมเดินทาง เรามีคำถามในใจอยู่ก่อนแล้วว่า “เปลี่ยนแค่อุปกรณ์ภายนอกแล้วจะให้ไปขับทำไม ผลมันคงไม่ต่างจากเดิมหรอก” แต่เราก็ตอบรับคำเชิญด้วยเหตุผล “เผื่อว่ามันจะมีอะไร”
ก่อนออกเดินทาง ทีมงานมาสด้าบรรยายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจ้า 3 มินิไมเนอร์เชนจ์ และเปิดโอกาสให้สอบถามข้อสงสัย ซึ่งทีมงานมาสด้าบอกว่า นอกจากการเปลี่ยนภายนอกดังกล่าวแล้ว ภายในตัวถังยังเพิ่มการบุผนังด้านท้ายรถเสริมเข้าไปอีกเพื่อช่วยป้องกันเสียงดังจากภายนอกเข้ามารบกวนอีกหนึ่งรายการ
ส่วนเส้นทางจะเริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงกุยบุรี(ประจวบคีรีขันธ์) ระยะทางกว่า 300 กม. โดย รถหนึ่งคันต่อสื่อมวลชน 4 ท่าน ขาไปเราได้รถตัว 1.6 ลิตรแบบ 5 ประตู ช่วงแรกเราประจำการเป็นผู้โดยสารตอนหน้า ความรู้สึกคือ เหมือนเดิมไม่แตกต่างหลังจากนั่งมากว่า 100 กม. และจากคำบอกเล่าของสื่อมวลชนที่นั่งตอนหลัง รู้สึกว่าเสียงลมเงียบขึ้นกว่าเดิม แต่เสียงยางดังขึ้น และที่สำคัญคือ นั่งนุ่มกว่าเดิม
ด้านคนขับก็บอกว่า เหมือนรถนุ่มกว่าเดิม ท้ายมีการให้ตัวมากกว่า ไม่นิ่งเท่าตัวก่อนหน้าเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเจอโค้งเจอเนินอาการยิ่งชัด ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดคุยกันกับสื่อมวลชนหลายท่านและความเห็นก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องไปหาคำตอบจากทีมงานมาสด้า
ซึ่งก่อนออกเดินทางเราถามย้ำแล้วว่า มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือปรับช่วงล่างบ้างไหมคำตอบคือ “ไม่มีการปรับใดๆ ทั้งสิ้น” ฉะนั้นแล้วความรู้สึกที่ว่านุ่มขึ้นมันมาจากไหน คำตอบของทีมงานมาสด้าออกมาที่ “ยาง” เนื่องจากเจ้า 3 ตัวนี้มีการเปลี่ยนซัพพลายเออร์ยางจากบริดสโตนมาเป็น กู๊ดเยียร์ (ยางผลิตในฟิลิปินส์)
และทีมงานยอมรับว่า เนื้อยางนุ่มกว่าและให้ตัวมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นอันว่า กระจ่างครับว่าความรู้สึกที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมทั้งที่ช่วงล่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั้นมาจากการเปลี่ยนยาง
ขากลับ เราขับตัว 2.0 ลิตร ความรู้สึกการขับเจ้า 3 ยังคงให้ความสนุกในการขับเหมือนเดิม คันเร่งคิกดาวน์ติดง่าย การเก็บเสียงลมทำได้ดี เริ่มได้ยินเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. ส่วนเรื่องการใช้งานของกุญแจแบบใหม่ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกดี สามารถพกกุญแจไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องควักออกมา ก็ขับรถออกไปได้
สรุป ปรับแล้วหล่อขึ้นบวกกับอุปกรณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมาเทียบราคาที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คุ้มค่าแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่เป็นคนพันธ์ “ซูม ซูม” มองหาซีดานสักคัน “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
18.11.08
เปิดหลังคาท้าฟ้า BMW 325i convertible
เออ!แล้วคันนี้มันราคาเท่าไหร่นะครับ?...เป็นคำถามแรกที่ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”ถามเจ้าหน้าที่ของ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย หลังรับกุญแจอัจฉริยะและบรรจงพ่นลายเซ็นในเอกสารการรับ 325i convertible...จำได้ว่าบีเอ็มดับเบิลยูเคยนำรถรุ่นนี้เข้ามาโชว์พร้อมขายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์เมื่อปีที่แล้ว ย้ำว่าปีที่แล้วนะครับไม่ใช่ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นถือว่าไวพอสมควรเพราะรถเพิ่งจะแนะนำสู่ตลาดอย่างเป็นทางการในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2007 เดือนมกราคมเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามกว่ารถจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยก็ลากยาว ใช้เวลามาถึงไตรมาสแรกของปีนี้…“ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้เจ้า 325i convertible มาแบบกะทันหัน และไม่ได้วางแผนล่วงหน้า แต่เมื่อสบช่องโอกาสเหมาะกับ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เราก็ไม่ปฏิเสธที่จะไปรับรถทดสอบทันที
ส่วนที่ถามเรื่องราคาไปนั้น ยอมรับว่าจำไม่ได้จริงๆแต่คล้ายๆว่าต้องมีเลข 4 (ล้าน)นำหน้าแน่ๆ เพราะเอาพื้นฐานของ 325i ซีดาน E90 ที่ราคา 3.3 ล้านบาทเป็นตัวตั้ง จนเมื่อทราบราคา(หลังกลับถึงบ้าน) จึงรู้ว่าคิดผิด และน่าจะเอาเบสของตัวคูเป้ E92 ถึงจะถูก
สำหรับ 325i convertible รหัสตัวถัง E93 ใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวรุ่นคูเป้ ทั้งยังเปิดมิติใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีหลังคาแข็งแบบ 3 ชิ้นพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า หรือ Retractable Hard-Top มาใช้เป็นครั้งแรก
...หลังเหยียบเบรกพร้อมกดปุ่มสตาร์ทรถ (กุญแจยังอยู่ในกระเป๋ากางเกง) เพื่อวนออกจากที่จอดรถในตึกออลซีซั่น ฐานบัญชาการของบีเอ็มดับเบิลยู ก็รู้สึกถึงความยากลำบากแรกเลย คือความหนืดหน่วงของพวงมาลัย ที่ช่วงแรกยังสาวไม่ค่อยถนัดถนี่นัก แต่ก็เข้าใจในชั้นคลาสความสปอร์ตของค่ายใบพัดสีฟ้าเค้าละ
เมื่อออกมาจากตึกออลซีซั่นไม่ทันไร ก็ถูกต้อนรับด้วยสายฝนพรำเล็กน้อย ซึ่งเราไม่ถือสาดินฟ้าอากาศเพราะไม่ได้คิดจะเปิดหลังคาตั้งแต่ 3-4 โมงเย็นรับ อากาศร้อน ฝุ่นควัน หรือพวกกำมะถัน และคาร์บอนไดออกไซค์อยู่แล้ว แต่คิดอย่างเดียวว่ารถจะเลอะไหมเนี้ย
325i convertible คันที่ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”ได้มาเป็นสีบรอนซ์เงิน ภายในตกแต่งด้วยโทนสีดำ ตัดเบาะหนังสีแดงสุดจี๊ด เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ ฟังก์ชันไอไดรฟ์ (ควบคุมความ บันเทิง-โทรศัพท์-เครื่องปรับอากาศ-ข้อมูลรถ) ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ พร้อมออนบอร์ดมอนิเตอร์ ที่รองรับเครื่องเล่น ดีวีดี ซีดีเชนเจอร์ 6 แผ่น รวมถึงรู Aux-in ที่ฝังอยู่ตรงพักแขนระหว่างผู้โดยสารด้านหน้า
นอกจากนี้ยังพกเทคโนโลยี SunReflective ที่ใช้ในรถเปิดประทุนหลายๆรุ่นของค่ายมาด้วย โดยตัวเบาะนั่งทั้ง 4 จะสะท้อนแสงอาทิตย์และรังสีอินฟาเรด พร้อมลดการสะสมความร้อนบนพื้นผิว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเบาะหนังทั่วไปแล้ว เบาะที่ผ่านกระบวนการ SunReflective จะมีอุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่าถึง 20 องศาเซลเซียส...ก็ขอบคุณมากครับที่อุตสาห์คิดเทคโนโลยีดีๆแบบนี้ แต่สำหรับกรุงเทพมหานคร เราขอปิดหลังคาเปิดแอร์ไว้ก่อนดีกว่า
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารไม่มีที่ติ และบอกได้เต็มปากว่าความเงียบนั้นแทบไม่ต่างกับตัวซีดานเลย ขณะเดียวกันการลองเปิดหลังคาแต่ไม่ลดกระจกข้างลง ก็รู้สึกว่าเจ้า 325i convertible ยังป้องกันเสียงลมปะทะได้ดี แสดงถึงความเนี้ยบเนียนในการออกแบบ และความประณีตในการประกอบ การเลือกใช้วัสดุ รวมถึงข้อต่อตัวซีลต่างๆของค่ายใบพัดสีฟ้าได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามสำหรับการเปิด-ปิดหลังคา ส่วนตัวยังรู้สึกว่านานไปนิด โดยลองจับเวลาตั้งแต่ กด(งัด)ปุ่มสั่งงานตรงคอนโซลกลาง จนเสร็จสิ้นกระบวนการจะอยู่ประมาณ 30 วินาทีเลยทีเดียว
เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 218 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผันแบบ VALVETRONIC ผสานการทำงานกับ Double-VANOS ควบคุมเวลาการเปิด-ปิดวาล์วทั้งไอดี-ไอเสีย ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งตามสเปกบอกอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ 8.4 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 240 กม./ชม. ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 10.9 กิโลเมตรต่อลิตร
ส่วนการขับจริง ถ้าคนที่คาดหวังความสปอร์ตแบบสุดขั้ว คงผิดหวังกับช่วงตีนต้นที่ไม่เร้าใจนัก แต่อาจแก้ด้วยการผลักคันเกียร์เป็นโหมดสปอร์ต โดยรอบจะดีดไปแถวๆ 4,000-5,000 หรือจะเลือกเล่นแบบ steptronic ก็พอกล้อมแกล้มได้
แต่กระนั้นเมื่อถึงความเร็วกลางๆไปถึงปลาย จะเริ่มขับสนุกขึ้นมาหน่อย ซึ่งเราค่อยๆปลดปล่อยพละกำลังของเครื่องยนต์แบบหายใจเอง ที่บีเอ็มดับเบิลยูถือเป็นค่ายรถยนต์ระดับต้นๆของโลกที่สร้างขุมพลังลักษณะนี้ได้เก่งมาก ขณะที่การส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำได้คล่องแคล่ว ตอบสนองฉับไว ไต่ความเร็วจาก 80 กม./ชม.ไล่ไปถึง 140 กม./ชม.เพียงอึดใจ
ถึงแม้จะเป็นรถเปิดประทุนหลังคาแข็งพับได้ และอาจรู้สึกถึงการถ่ายเทน้ำหนักที่ต่างกับรถซีดานบ้างเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะว่าด้วยจุดเด่นของรถขับเคลื่อนล้อหลัง ทำให้ทั้งโค้งสั้นโค้งยาว บีเอ็มดับเบิลยูคันนี้ยังสาดใส่ได้เต็มๆไม่ดิ้นไม่หลุด ด้านช่วงล่างอันหนึบแน่นแต่ไม่ถึงกับขั้นดิบแข็ง ยังให้ความมันคงในช่วงความเร็วสูง
ด้านความปลอดภัย มีระบบป้องกันศีรษะกรณีพลิกคว่ำ และถุงลมนิรภัยคู่หน้า-ถุงลมนิรภัยแบบ Thorax สำหรับป้องกันศีรษะและบั้นเอวเฉพาะผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า ระบบเบรก ABS ระบบควบคุมการทรงตัวแบบไดนามิค DSC ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC
รวบรัดตัดความ...ถือเป็นโชคดีของสาวกบิมเมอร์ เพราะบีเอ็มดับเบิลยูยุคนี้เสริมไลน์อนุกรม 3 แทบครบทุกรุ่น ทั้งเครื่องยนต์ ดีเซล เบนซิน หรือตัวถัง ซีดาน คูเป้ เปิดประทุน และตัวแรง เอ็ม3 แต่ที่ยังไม่ผ่านหูผ่านตาเห็นจะเป็นตัวถังสเตชันแวกอน(ทัวริ่ง)เท่านั้น
สำหรับ ซีรี่ส์ 3 เปิดประทุน รหัสตัวถัง E93 เป็นรถขับสนุกพอสมควร ใส่ดีเอ็นเอความสปอร์ตเอาไว้พอประมาณ เพียบพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ส่วนจุดเด่นกับหลังคาแข็งพับได้ คงต้องหาโอกาสขับไปเย้ยฟ้าตามต่างจังหวัด ที่สำคัญเป็นรถ 4 ที่นั่งพ่อแม่ลูกนั่งกันไปได้สบายๆทั้งครอบครัว แต่คงต้องคำนึงถึงความจุสัมภาระด้านท้ายเอาไว้ด้วย…อ้อเกือบลืม พอผู้เขียนกลับถึงบ้านก็รีบวิ่งขึ้นไปเปิดหนังสือรถเพื่อดูราคา 325i convertible ก็อืม! 5.29 ล้านบาทครับ
โชว์การปิดหลังคา จากต้นจนจบใช้เวลาประมาณ 30 วินาที
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
17.11.08
ขับสนุก สุดเท่ กับซีรีส์ 7
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 สุดยอดสายพันธุ์แห่งความหรูของค่ายใบพัดสีฟ้าขาว ในงาน “ปารีส มอเตอร์โชว์ 2008” (เดือนตุลาคม) แน่นอนว่าการโมเดลเชนจ์ครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูขนอุปกรณ์ไฮเทคมากมายเพื่อขย่มคู่แข่งสัญชาติเดียวกันอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชนิดไม่มีขาดตกบกพร่องเลย
แต่ก่อนที่บีเอ็มดับเบิลยูจะเผยโฉมซีรีส์ 7 เพียงแค่อาทิตย์เดียวทางบีเอ็มดับเบิลยู ไทยแลนด์ เชิญสื่อมวลชนไทย 3 ฉบับร่วมสัมผัสยนตรกรรมสุดหรูอย่างใกล้ชิด ณ เมือง Dresden ประเทศ เยอรมนี
เด่นภายนอก-ทึ่งภายใน
ซีรีส์ 7 ที่พบเห็นครั้งแรกจากภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าซีรีส์ 7ใหม่รุ่นนี้มีส่วนคล้ายกับรุ่นเดิม แต่หากมองซ้ำแล้วซ้ำอีกจะเห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บวกกับรายละเอียดที่บีเอ็มดับเบิลยูบอกไว้ในเอกสารยืนยันว่าทั้งภายนอกและภายในได้รับการออกแบบใหม่หมด
สไตล์การออกแบบและเส้นสายที่นำมาใช้กับซีรีส์ 7 ใหม่เป็นการประยุกต์มาจากต้นแบบรุ่น CS Concept ที่เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์จีนเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว จึงทำให้รูปลักษณ์ด้านหน้าดูสวยสะดุดตา โดยเฉพาะไฟหน้าทรงเหลี่ยมเฉียงออกแบบให้รับกับกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่อันเป็นเอกลัษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูได้เป็นอย่างดี ขณะที่ไฟหน้าทั้ง 2 ฝั่งมีการฝังไฟดวงกลมคู่เอาไว้ภายใน และมีไฟเลี้ยวดีไซน์ใหม่ซึ่งเป็นการจับเอาหลอดแบบ LED 8 ดวงมาวางเรียงเป็น 2 แถว ๆ ละ 4 ดวง ในแนวตั้ง
สำหรับด้านท้ายโดดเด่นกับไฟท้ายทรงตัว L วางในแนวนอนมีขนาดใหญ่ และออกแบบให้รับกับภาพรวมของรูปลักษณ์ด้านท้ายได้อย่างกลมกลืน ซึ่งข้างในใช้ไฟแบบ LED วางเรียงเป็น 3 แถวเพื่อประสิทธิภาพในการส่องสว่าง และเสริมความหรูด้วยแถบโครเมียมคาดกลางระหว่างไฟท้ายทั้ง 2 ฝั่ง ขณะที่กันชนท้ายแม้ว่าจะดูเรียบ ๆ แต่ก็เน้นความสปอร์ตในระดับหนึ่งด้วยการเจาะช่องเตรียมไว้สำหรับปลายท่อไอเสียทั้งฝั่งซ้ายและขวา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าซีรีส์ 7 ใหม่นี้ จะไม่ได้พลิกโฉมที่โดดเด่นเหมือนกับตอนที่เปลี่ยนจากรุ่นที่ 3 มารุ่นที่ 4 แต่ซีรีส์ 7 (รุ่นที่5) ใหม่ก็ยังคงความสวยที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตของรูปลักษณ์เข้ากับความหรูหราตามแบบฉบับของผู้บริหาร (กระเป๋าหนัก) ได้เป็นอย่างดี
ส่วนภายในห้องโดยสารบีเอ็มดับเบิลยูได้มีการดีไซน์ใหม่หมดเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการยกระดับความหรูหรา -ประโยชน์ใช้สอย และจุดที่ถือเป็นเอกลักษณ์มาตลอดสำหรับรถยนต์ทุกรุ่นที่แปะโลโก้ใบพัดสีฟ้าขาวคือการออกแบบแผงหน้าปัดซึ่งมีทั้งหมด 4 ดวง แบ่งเป็น 2 ดวงใหญ่ สำหรับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์และความเร็ว และประกบซ้าย-ขวา ด้วยมาตรวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงและความร้อนซึ่งเป็นวงกลมดวงเล็ก ขณะเดียวกันชุดแผงหน้าปัดมีการเลือกใช้วัสดุแบบใหม่ที่เน้นความอ่อนนุ่มและความสบายขณะใช้งาน รายละเอียดอื่น ๆ ที่อยู่ในชุดมาตรวัด และแผงคอนโซลกลางเป็นของใหม่ทั้งหมด
ระบบ iDrive ที่นำมาใช้ครั้งแรกกับซีรีส์ 7 รุ่นก่อนหน้านี้ยังเป็นหัวใจหลักของการควบคุมระบบการทำงานต่าง ๆภายในตัวรถแต่ขยายขนาดหน้าจอสำหรับการแสดงผลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 10.2 นิ้ว อีกทั้งยังมีการติดตั้งฮาร์ดดิสก์ขนาด 8 Gb สำหรับบรรจุข้อมูลหรือเพลงได้มากกว่า 100 อัลบั้ม ขณะที่ระบบเครื่องปรับอากาศเป็นแบบแยกส่วนถึง 4 จุด ตามเบาะนั่งในส่วนต่างๆ ของตัวรถ โดยที่เบาะหลังติดตั้งระบบระบายอากาศพร้อมระบบนวดไว้ในตัวเบาะเพื่อคลายความเมื่อยล้าให้กับผู้บริหารในระหว่างเดินทาง (มีอยู่เฉพาะรุ่นฐานล้อยาว) และที่สำคัญสุดสามารถเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตจากภายในรถได้ ซึ่งระบบนี้ยังไม่มีรถรุ่นใดมี บีเอ็มดับเบิลยูจึงกลายเป็นเจ้าแรกของโลกที่สามารถเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตภายในรถได้
ในเรื่องของความกว้างขวางและความหรูหราของซีรีส์ 7 ใหม่ ยังคงตอบสนองได้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นความกว้างขวางภายในรถ เบาะนั่งที่ได้รับการออกแบบให้โอบกระชับและนั่งสบายแม้ว่าจะต้องขับในระยะทางไกล ๆ แต่อย่างใดในเรื่องของเบาะนั้นสมาชิกที่ร่วมเดินทางไปกับ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ติงว่าแข็งไปนิดไม่เหมาะกับเศรษฐีและผู้บริหารในแถบบ้านเราที่เน้นเบาะที่นุ่ม นิ่ม สบาย ๆ มากกว่า อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวล่ะครับ
เต็มเปี่ยมด้วยไฮเทค
บีเอ็มดับเบิลยูภาคภูมิใจกับซีรีส์ 7 ใหม่ เพราะทุกโมเดลอัดแน่นไปด้วยระบบการทำงานไฮเทคซึ่งยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรถรุ่นใดของบีเอ็มดับเบิลยู คือ ระบบ Night Vision ซึ่งสามารถแจ้งเตือนให้ทราบหากมีคนเดินถนนอยู่บนเส้นทางด้านหน้า โดยระบบจะสามารถประมวลผลและคาดเดาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของคนได้ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ส่วนการเปลี่ยนเลนเพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้ง Side View Camera System ขจัดมุมบอดที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากกระจกข้างหรือส่องหลัง
ระบบ Park Distance Control ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องใช้ความเร็วต่ำบนสภาพเส้นทางที่อาจจะมีสิ่งกีดขวางอยู่บนถนน ซึ่งเมื่อมีการกดปุ่มจากในห้องโดยสาร กล้องที่ติดตั้งอยู่บนกันชนหน้าทั้ง 2 ตัว จะแสดงภาพที่อยู่ทางด้านหน้ามาทางมอนิเตอร์ของระบบ iDrive ทำให้ผู้ขับสามารถรับทราบถึงมุมอับที่อยู่ทางด้านหน้าของตัวรถโดยเฉพาะเมื่อต้องขับบนทางแคบ ๆ หรือเวลาเลี้ยวออกจากซอยที่มีมุมอับ
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 รุ่นนี้ ยังติดตั้งระบบ Lane Change Warning ที่จะทำงานร่วมกับระบบ Lane Departure Warning เพื่อความปลอดภัยในขณะขับ ซึ่งระบบนี้เคยติดตั้งอยู่ในซีรีส์ 5 และ 6 มาก่อน โดยการทำงานจะมีการเตือนให้ผู้ขับรับทราบทั้งแรงสั่นสะเทือนบนพวงมาลัยเบา ๆ หากว่ารถที่ขับเริ่มเบี่ยงออกจากช่องทางของตัวเอง ซึ่งอาจจะเกิดจากหลับในหรือเผอเรอก็เป็นได้
หากมีการเปลี่ยนเลนเรดาร์ทั้ง 2 ตัวที่ติดตั้งอยู่ที่มุมกันชนท้ายก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่แล่นตามมาทางด้านหลังในรัศมี 60 เมตร ซึ่งอาจจะอยู่ในมุมอับที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากกระจกมองข้างหรือกระจกส่องหลัง
เหนืออื่นในรุ่นที่มีการติดตั้งระบบ Head-up Display หรือจอแสดงผลบนกระจกบังลมหน้าก็จะมีการทำงานร่วมกับระบบ Lane Departure Warning ในการตรวจสอบและแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่รับทราบในกรณีที่เส้นทางเหล่านี้มีการจำกัดความเร็ว ซึ่งระบบจะอาศัยกล้องที่ติดตั้งอยู่บนกันชนในการตรวจสอบป้ายสัญญาณจำกัดความเร็วที่อยู่บนถนน ถ้าพบก็จะมีการแสดงผลผ่านทางหน้าจอ Head-up Display ซึ่งถือเป็นรถยนต์ในสายการผลิตรุ่นแรกของโลกที่มีการแสดงและแจ้งเตือนการจำกัดความเร็วโดยอาศัยข้อมูลจากการอ่านป้ายสัญญาณที่อยู่บนถนน
นอกจากนี้ ตัวรถยังตอบรับกระแสความประหยัดน้ำมันด้วยแนวคิด Efficient Dynamics ลดน้ำหนักตัวรถด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตหลังคา บานประตู ฝากระโปรงหน้า-หลัง และชิ้นส่วนตัวถังด้านข้าง ขณะที่เทคโนโลยีการนำพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกหรือถอนคันเร่งมาใช้ในการปั่นกระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยในการเรียกอัตราเร่งที่เรียกว่า Brake Energy Regeneration ก็ถูกนำมาใช้กับซีรี่ส์ 7 ใหม่เช่นกัน
ครบเครื่องทั้งดีเซล-เบนซิน
ซีรีส์ 7 ในช่วงแรกมีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ เช่นเดียวกับรุ่นก่อนคือ ตัวถังฐานล้อมาตรฐานและตัวถังฐานล้อยาว ตัวถังแบบแรกมีความยาว 5,072 มิลลิเมตรและระยะฐานล้อ 3,070 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นฐานล้อยาวที่มีคำว่า L ต่อท้ายรหัสรุ่นนี้มีความยาว 5,212 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 3,210 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างและความสูงเท่ากันที่ 1,902 มิลลิเมตร และ 1,479 มิลลิเมตร
ขณะที่เครื่องยนต์มาครบทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล เริ่มจาก 740iและLi ซึ่งเป็นแบบ 6 สูบเรียง
ทวินแคม 24 วาล์ว 3000 ซีซี พร้อมเทอร์โบคู่ ซึ่งเปิดตัวกับซีรีส์ 3 คูเป้เป็นครั้งแรก แต่ในบล็อกที่วางกับซีรีส์ 7 ใหม่รีดกำลังขึ้นมาเป็น 326 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 45.8 กก.-ม. ที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที ตามด้วยรุ่น 750 iและLiแบบวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4,800 ซีซี เทอร์โบคู่ซึ่งยกมาจาก X6 มีกำลังสูงสุด 407 แรงม้าที่ 5,500 -6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม.ที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที
ส่วนเทอร์โบดีเซลมีแบบเดียว 730 d ไม่มีรุ่นฐานล้อยาวขาย มากับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี เทอร์โบ 245 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 1,750-3,000 รอบ/นาที ทุกรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนอัตราเร่ง0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงอยู่ระหว่าง 7.2-5.2 วินาที และความเร็วปลาย 245-250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้งสนุก-สบายกับสายพันธุ์ใหม่
หลังจากซึบซับข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าซีรี่ส์ 7 รุ่นใหม่กันพอหอมปากหอมคอกันแล้วก็ถึงคิวที่จะได้สัมผัสกับตัวรถกันจริง ๆ บ้างสำหรับรถที่ทางบีเอ็มดับเบิลยู เยอรมนี เจ้าภาพจัดให้นักข่าวต่างชาติร่วมทดสอบมีด้วยการ 2 รุ่นคือ 750 Li กับรุ่น 730 d และเมืองไทยทั้ง 3 ฉบับบวกกับเจ้าหน้าที่จากบีเอ็มไทยแลนด์ที่ประจำอยู่ประเทศเยอรมนี รวม 4 คน ได้รับกุญแจรถคันแรกคือ750Li 2 คันนั่งคันละ 2 คน ส่วนช่วงบ่ายเป็นคิวของ 730 d
จุดหมายปลายทางช่วงแรกเริ่มต้นจากโรงแรมที่เราพักที่มีชื่อว่า Taschenbergpalais hotel จนถึงปลายทางที่เขานัดกินข้าวกลางวันคือSchlss Wolfsbrunn รวมระยะทางทั้งหมด 190.8 กิโลเมตรบวกกับช่วงบ่ายอีก 131.0 กิโลเมตร
สำหรับเส้นทางที่ทางเจ้าภาพจัดให้ลองขับรถระดับหรูอย่างซีรี่ส์ 7 ถือว่ามีครบทุกรสไม่ว่าจะเป็นในเมืองที่ต้องใช้ความเร็วต่ำเนื่องจากเส้นทางที่ขับจะต้องผ่านหมู่บ้านหลายแห่งและกฎหมายของที่นี่เมื่อขับเข้าเมืองจะต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง แถมมีป้ายตอกย้ำอยู่ตลอดทางที่ขับผ่าน
ขณะเดียวกันก็มีเส้นทางคดโค้ง ขึ้นเขา ลงเขา ถนนที่แคบ และบนมอเตอร์เวย์ที่สามารถใช้ความเร็วแบบไม่จำกัด ถ้าใจถึงก็เหยียบกันจนมิดเท้าเลย แต่ความเร็วสูงสุดไปได้ถึง 250 กม./ชม.เท่านั้นเนื่องจากบีเอ็มดับเบิลยูล็อกความเร็วไว้เท่านี้ ชนิดที่ว่ารถไม่มีอาการอะไรให้รู้สึกขาดความมั่นใจเลย แต่กลับสนุกต่อการขับขี่ พวงมาลัยแม้จะเบาแต่ควบคุมง่าย แม่นยำกว่ารุ่นเดิม โดยเฉพาะเสียงลมไม่เข้ามารบกวนให้รำคาญใจ
อัตราเร่ง การออกตัว ปรู๊ดปร๊าด เรียกก็มาเลยไม่มีรีรอ แต่หากเปรียบเทียบระหว่าง 750 Li กับ 730 d ซึ่งได้ขับในช่วงบ่าย ก็ต้องขอบอกว่าการขับขี่ใกล้เคียงกัน แต่ตัวแรกจะได้เปรียบกว่าในการวิ่งทางไกล หรือเร่งแซงเนื่องจากเครื่องแรงกว่า กดเมื่อไรมาแบบไม่ยั้ง เล่นเอาตกใจหลายครั้งเมื่อหันมามองเข็มเลขไมล์ว่า โอโฮ้เหยียบไปได้ยังไง 200 กว่าโดยไม่รู้สึกตัวเลย
แต่ในรุ่นดีเซลก็ไม่ได้น้อยหน้าไม่ว่าจะเป็นในเมือง ออกตัวสูสี อัตราเร่งก็มาทันใจ กดนิดเดียวมาอย่าง
นิ่ม ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรุ่นใหม่ติดเทอร์โบเสริมเข้ามาด้วยทำให้การขับขี่สนุกสนาน เพลิดเพลิน โดยเฉพาะทางคดเคี้ยว ขึ้นเขา มีโค้งค่อนข้างแยะ การขับขี่คล่องตัวทั้งสองรุ่น การยึดเกาะแม่นยำไม่มีอาการหลุดให้เห็นไม่ว่าจะใช้ความเร็วต่ำหรือสูงก็มั่นใจ
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบีเอ็มดับเบิลยูติตตั้งระบบ Integral Active Steering หรือระบบเลี้ยว 4 ล้อ ซึ่งจะมีการปรับมุมของล้อหลังให้สัมผัสกับล้อหน้าในมุมหักเลี้ยวจากแนวระนาบไม่เกิน 3 องศา โดยเมื่ออยู่ในช่วงความเร็วต่ำ มุมล้อหลังจะถูกหักให้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเลี้ยวของล้อหน้า ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงมุมล้อหลังจะหักไปในทิศทางเดียวกับมุมของล้อหน้าช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนช่วงล่างไม่สามารถบอกได้เต็มปากนักเนื่องจากทดลองทั้งนั่งและทั้งขับไม่รู้สึกอะไรเลย มันนิ่งมาก ๆ ไม่มีอาการยวบยาบ หรือแข็งกระด้าง ก็เลยไม่แน่ใจว่าทางบีเอ็มดับเบิลยูเซตช่วงล่างได้เนียนจริง หรือเป็นเพราะถนนในประเทศเยอรมนีดีเกินไป เพราะเส้นทางที่เราวิ่งมาถนนของเขาเรียบมาก ๆ ไม่มีหลุมบ่อ หรือขรุขระให้ได้สัมผัสแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้ามาขับบ้านเราจะนุ่ม-นิ่งหรือไม่ก็ต้องลองกันอีกที
การขับขี่บีเอ็มดับเบิลยูก็มีลูกเล่นให้ผู้ขับสนุกเพิ่มขึ้นด้วยระบบ Drive Dynamic Control ซึ่งนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับซีรีส์ 7 โดยแนวคิดนี้จะประกอบไปด้วยระบบช่วงล่างปรับระดับความหนืดของโช้กอัพโดยอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Variable Damping Control ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ 4 แบบ คือ Comfort, Normal ,Sport และ Sport + ซึ่งเวลาขับก็สามารถเลือกกดโหมดที่เราอยากจะลองทดสอบดูได้อย่างง่ายดาย
มาถึงห้องโดยสารภายในก็ต้องยอมรับว่ากว้างขวาง นั่งสบาย โดยเฉพาะเบาะหลัง แถมมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง แต่ก็ต้องขอสารภาพว่าไม่ได้ทดลองครบทุกหมวด เพราะการขับขี่ที่นี้เป็นพวงมาลัยซ้าย จิตใจก็มัวแต่พะวงกับการขับมากกว่าที่จะมาสนใจลูกเล่นที่บีเอ็มดับเบิลยูใส่มาให้เพียบ แต่อุปกรณ์ที่ได้ใช้ชัวร์คือ ปุ่ม iDrive เพราะก่อนที่จะขับรถออกจากจุดสตาร์ดต้องมานั่งเซตแผนที่ให้เรียบร้อยกันหลง (แต่ก็หลงจนได้) ซึ่งปุ่มใช้งานง่ายกว่าเดิมแยะ ส่วนอุปกรณ์อื่นที่ได้ลองก็มีระบบนวดที่ตัวเบาะ ,ปรับอุณหภูมิให้เบาะร้อนเพราะอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น
ภายในของรุ่น 730 d
และอีกระบบหนึ่งที่ลองเล่นดูคือ ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเปลี่ยนเลน ด้วยการขับรถออกนอกเลน ปรากฏว่าตรงพวงมาลัยจะสั่นทันที ซึ่งกรณีจะช่วยได้สำหรับพวกขับแล้วหลับใน
ซีรีส์ 7 ใหม่จะเริ่มจำหน่ายทั่วโลกปลายปีนี้ ส่วนเมืองไทยจะนำเข้ามาจำหน่ายต้นปีหน้าในรุ่น 750Li และ 740Li ขณะที่รุ่นประกอบในประเทศไทยจะเริ่มปลายปี 2009 สำหรับราคาแพงกว่าตัวเก่าอย่างแน่นอน เช่น740Liรุ่นปัจจุบันราคา 8.9 ล้านบาท(รุ่นประกอบในประเทศ) ถ้ารุ่นใหม่ก็น่าจะเพิ่มอีกหนึ่งล้านบาทก็ยังไม่ถึง 10 ล้านบาท
ดังนั้น ตัวเลขของซีรี่ส์ 7 ที่มีราคาไม่ถึง 10 ล้านบาท คงไม่แพงเกินไป (กับมหาเศรษฐี) เมื่อแลกกับยนตรกรรมระดับหรูที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง....ไม่ว่าคุณจะสวมบทบาทเป็นคนขับหรือจะสวมบทบาทเป็นผู้บริหารนั่งเตะจุ้ยอยู่เบาะหลังก็ถือว่าคุ้มจริง.....จริง
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
16.11.08
SLK สันทัด ขับมัน
ไม่รู้ว่าผู้เขียนรู้สึกไปเอง หรือเพราะสนใจรถยนต์เป็นทุนเดิม จึงมองเห็น SLK วิ่งบนท้องถนนเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วน หรือช่วงราตรีสังสรรค์...ก็น่าปลื้มใจแทนเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ครับ(แต่ถ้าเป็นรถจากเกรย์มาร์เก็ต เบนซ์ฯคงอยากร้องไห้มากกว่า)
อย่างที่ทราบกันว่า ต่อให้เศรษฐกิจ-บ้านเมืองน้ำเน่าแค่ไหน แต่ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ยังมีกำลังซื้ออยู่มาก ทั้งนี้รถยนต์ถือเป็นหนึ่งออปชันประดับกายที่แสดงให้เห็นถึงหน้าตาและศักยภาพทางสังคม ซึ่งหลายคนอาจมองเป็นของเล่นของสะสม ขณะเดียวกันกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่เท้าขวาหนักพอๆกับกระเป๋าสตางค์ ก็ไม่อยากพลาดยนตรกรรมชั้นดีเช่นกัน
ส่วน SLK นั้น จะว่าเป็นของเล่นเศรษฐีก็ไม่เชิง เพราะสามารถขับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และสมเหตุสมผลพอสมควรกับคนโสดใจซิ่ง หรือใครอยากซื้อเป็นรถคันที่สอง-สาม แล้วเลือกขับตามสถานการณ์ (ที่ไม่ใช่วันครอบครัว)ก็ไม่ว่ากัน ดังนั้นเราจึงเห็น “โรดสเตอร์ตราดาวสามเฉก” วิ่งกันพอสมควร
SLK เจเนอเรชั่นที่สอง รหัส R171 ลุยตลาดโลกตั้งแต่ปี 2004 และถึงคิวไมเนอร์เชนจ์ต้นปีที่ผ่านมา สำหรับเมืองไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำเข้ามาเปิดตัวพร้อมขายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2008 โดยตั้งราคาไว้ 4.5 ล้านบาท แพงกว่าเดิม 1 แสนบาท....แล้วรุ่นนี้อะไรใหม่?
ด้านขุมพลัง 1.8 ลิตร 4 สูบซูเปอร์ชาร์จ เพิ่มแรงม้า 21 ตัวเป็น 184 แรงม้า ขณะที่รูปลักษณ์อันสันทัดถูกปรับให้ดูดุดัน ทั้งกันชนหน้าใหม่ ไฟตัดหมอกทรงรี(เดิมกลม) ลายล้อแมกซ์อัลลอยด์เปลี่ยนเป็นแบบก้านคู่ 5 แฉก กระจกมองข้างฝังไฟเลี้ยวลายใหม่ ปลายท่อไอเสียเปลี่ยนจากท่อคู่สองข้าง มาเป็นแบบเดี่ยว ทั้งยังปรับปรุงพื้นตัวถังด้านล่างและชายล่างของกันชนหลัง ให้อากาศไหลผ่านอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการทรงตัวเป็นเลิศ
นอกจากนี้ยังเพียบด้วยออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย อาทิ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันควบคุมเครื่องเสียง และแพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์ด้านหลัง ครูสคอนโทรล พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า-ด้านข้างรวม 4 จุด ด้านดิสก์เบรก 4 ล้อ มากับABS ระบบช่วยเบรก BAS และโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP รวมถึงระบบ Cornering Light เพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง
เรียนตามตรงว่าผู้เขียนมีความชอบพวกรถสปอร์ต(แล้วใครไม่ชอบ?)หรือพวกรถนิสัยดิบมันอยู่แล้ว ซึ่งหลังตอบตกลงกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ว่าจะเอา SLK 200 KOMPRESSOR มาทดสอบเป็นเรื่องเป็นราว ยังฉงนว่า โรดสเตอร์คันนี้ดีพอกับการต้องจ่ายถึง 4.5 ล้านหรือไม่ เพราะถ้าคิดถึงความสนุกมันเป็นหลัก และอยากจ่ายถูกกว่า คุณสามารถควักเพียง 2.6 ล้านบาท แลกกับรถโรดสเตอร์ตำนานยี่ห้อ “มาสด้า”ได้เช่นกัน
ไม่ได้จะเปรียบเทียบครับ เพราะระดับ SLK ต้องไปเจอพวก Z4 TT หรือ BOXSER โน้น แต่อยากจะถามเป็นนัยว่า ต้องควักจ่ายขนาดนั้นเพื่อแบรนด์ดาวสามแฉกเหรอ? และคำตอบที่ได้หลังอยู่กับ SLK มาตลอด 4 วัน...ถ้าชอบแนวนี้ + มีกำลังทรัพย์ไม่เดือดร้อน = ซื้อเถอะครับ
นิสัยไม่ดิบเท่า MX-5 แต่ก็ไม่ผู้ดีจ๋าจนน่าสะอิดสะเอียน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ 7.9 วินาที แม้ออกตัวไม่ถึงขั้นหลังติดเบาะ แต่หลังผ่านเกียร์ 1 ไปแล้ว บุคลิกและศักยภาพที่แท้จริงของ SLK เริ่มแสดงออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกำลังเครื่องยนต์ ที่ผสานการส่งกำลังได้กลมกลืนกับเกียร์อัตโนมัติ 5
สปีด และถ้าอยากใช้ประสิทธิภาพรถให้เต็มที่ ไม่กริ่งเกรงราคาน้ำมัน ก็ปรับเป็นโหมดสปอร์ต แล้วเล่นเกียร์เปลี่ยนเองจะเร้าใจกว่า
ส่วนตัว(เฉพาะ SLK)การเปลี่ยนเกียร์โดยใช้สองมือควบคุมแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย น่าจะสนุกกว่าการใช้มือซ้ายผลักคันเกียร์เข้า-ออก โดยการสั่งงานของเกียร์ฉับไว ไม่ว่าจะใช้มือซ้ายผลักเพื่อลดเกียร์ หรือมือขวาเพิ่มเกียร์
ในย่านความเร็วกลางๆ ลองตบเกียร์จาก 4 ลงมา 3 รอบกระฉูด 5,000-6,000 รอบ พลันรถพุ่งกระฉับกระเฉง หรืออยากเข้า-ออกโค้งที่ความเร็วสูงๆ ก็ตบเกียร์หวังใช่เอนจิ้นเบรกช่วย ยังให้ความมั่นใจและทะยานไปได้ต่อเนื่อง หรือการขับทางไกลไปต่างจังหวัดจะรู้สึกเหมือนขับรถพยาบาล-รถตำรวจ ที่เพื่อนร่วมทางดูจะเกรงใจเป็นพิเศษ (เชื่อเถอะว่าไม่ขับเกินกฎหมายกำหนด)
การควบคุมเนียนแน่น น้ำหนักพวงมาลัยหน่วงขึ้นตามความเร็วรถ สั่งงานตรงไปตรงมา ตัวรถ-คนขับ เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกับถนน ที่แนบสนิทไปพร้อมๆกันตลอดเส้นทาง ความเร็วสูงยังมั่นคงมั่นใจ ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ แจ้งว่า ความเร็วสูงสุดของโรดสเตอร์คันนี้ ไหลได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังรักษาความเนี้ยบเนียนในการขับเอาไว้ไม่บกพร่อง ดังนั้นอย่าหวังว่า เวลาสาดโค้ง SLK จะมีอาการสะดุ้งดิ้น หรือต้องคอยแก้อาการใดๆ เพราะแค่สองมือประคองพวงมาลัยให้มั่นคงก็พอแล้ว ขณะเดียวกันระบบประมวนผลคอยสั่งการ ไม่ให้เครื่องยนต์ลากรอบ ไหลตามใจเจ้าของมากเกินไป หรือตำแหน่งเกียร์อยู่ไม่เหมาะสมกับความเร็วรถป้องกันการทำงานหนัก อย่างไรก็ตามจุดที่ยังตะขิดใจมากที่สุด คือน้ำหนักในการเหยียบแป้นเบรก ยังไม่น่าประทับใจนัก รู้สึกไม่หนักแน่น เหมือนกับบุคลิกภาพด้านอื่น คือจะออกแนวลึก-เบาไปนิด
สำหรับหลังคาแข็งไฟฟ้าสามารถเปิด-พับเก็บได้ใน 22 วินาที ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสารไม่แพ้พวกรถสปอร์ตซีดาน หรือจะมีเล็ดลอดเข้ามาบ้างก็ยามกระหน่ำคันเร่ง ที่เสียงซูเปอร์ชาร์จดูทำงานขยันขันแข็ง ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเสียงที่ฟังหวานหู ถ้าไม่นับเพลงจากเครื่องเสียงชั้นดีที่เปิดคลอกันไป
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยตามโบชัวร์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมว่า SLK 200 KOMPRESSOR ทำได้ 12.5 กม./ลิตร ส่วนการลองขับจริงในเมือง และยิงยาวๆนอกเมืองใช้ความเร็วประมาณ 100-120 กม./ชม. ตัวเลขที่ขึ้นบนจอแสดงผลแจ้งว่า 10.9 ลิตรต่อ100 กม.หรือ 9.1 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ...อาจเป็นเพราะความโดดเด่นของตัวรถเอง และความชอบมอง(รถ)ไปเรื่อยของผู้เขียน จึงพานคิดไปเองว่า SLK มันวิ่งเยอะ ทั้งๆที่มีรุ่นอื่นคลาสพอๆกันหรือระดับราคาสูงกว่าวิ่งอยู่บนถนน...แต่ถ้ารถยนต์ราคา 4.5 ล้านบาท วิ่งเกลื่อนจนคุณรู้สึกได้...มันน่าคิดนะว่าเป็นเรื่องแบรนด์ สมรรถนะ คุณภาพ หรือสรุปว่ารถมันดี สมกับการหามาเป็นเจ้าของ!
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
15.11.08
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินในขณะขับขี่รถยนต์
ไม่ว่าผู้ขับขี่รถยนต์จะใช้ความระมัดระวังในการขับขี่รถยนต์มากน้อยแค่ไหน เหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งอาจจะมาจากความคาดไม่ถึงของท่านหรือของผู้อื่น ดังนั้นเราจึงควรรู้จักวิธีป้องกัน และแก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ เฉพาะหน้า ซึ่งอันดับแรกนั้น เราควรตั้งสติให้มั่น เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นอย่าตกใจจนขาดสติ จงตั้งสติให้ดีแล้วทำการควบคุมรถให้ปลอดภัย รู้วิธีป้องกัน และแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนี้.-
กระจกหน้าแตก เหตุการณ์อาจเกิดขึ้นได้ อาจมีสาเหตุมาจากก้อนหินที่ถูกทับแล้วกระเด็นมาโดนกระจกรถ ปัจจุบันกระจกที่เราใช้กันอยู่มี 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 กระจกนิรภัยชั้นเดียวกระจกชนิดนี้ เมื่อแตกแล้วจะมีลักษณะเป็นเม็ดประเภทที่ 2 กระจกนิรภัยสองชั้นปัจจุบันกระจกชนิดนี้จะมีพลาสติกใสเหนียวคั่นกลางอยู่พลาสติกใสที่เราใช้กันอยู่ข้างในอีกชั้น ดังนั้นเมื่อเวลากระจกแตกจะมีลักษณะแตกจุด เมื่อ เมื่อแตกแล้วจะเป็นสายคล้าย ๆ ใยแมงมุมซึ่งทำให้มองไม่เห็นถนน
ข้อควรปฏิบัติเมื่อกระจกหน้ารถรถของท่านแตก - เปิดสัญญาณ ไฟฉุกเฉิน เตือนรถที่วิ่งตามมา- ระหว่างการขับขี่ควรสวมแวนตาหรืออุปกรณ์ป้องกัน เพราะกระจกชิ้นเล็ก ๆ อาจถูกกระแสลมพัดเข้ามา และเข้าตาเราได้- นำรถเข้าศูนย์บริการ ยางระเบิด เมื่อยางรถยนต์ระเบิดขึ้น โดยกระทันหันผู้ขับขี่จะต้องถือพวงมาลัยให้มั่น และต้องพยายามบังคับรถให้เข้าข้างให้ได้ด้วยความระมัดระวัง และอย่าใช้เบรคอย่างแรง เพราะจะทำให้รถหนุนเป็นวงกลม พยายามชะลอความเร็วด้วยการเปลี่ยนเกียร์ต่ำ วิธีปฏิบัติเมื่อยางรถยนต์ระเบิด - เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เตือนรถที่วิ่งตามมา- อย่าเหยียบเบรคอย่างแรง เพราะจะทำให้รถยนต์เสียหลัก- ลดความเร็วลงด้วยการถอนคันเร่ง และเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำ- ประคองรถเข้าชิดขอบทาง สาเหตุของยางระเบิดเกิดจาก - ลมยางอ่อนเกินไป- บรรทุกน้ำหนักเกิน- ยางหมดสภาพ
ที่มา : www.ate.ac.th
14.11.08
12 วิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ
ขั้นตอนการประหยัด /ผลที่จะได้รับ
1.เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้าเสมอ/อุณหภูมิที่เย็นน้ำมันหดตัวได้ปริมาตรมากขึ้น 2%
2.เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว/ถ้าเติมจนเต็มปรี่ ร้อนๆน้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบาย
3.อุ่นเครื่อง 1 นาทีในหน้าร้อนและ 3 นาทีในหน้าหนาว/เครื่องจะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น
4.ค่อยๆออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง 1-2 พันรอบ/ได้ความนิ่มนวล ประหยัด และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
5.ควรใช้เกียร์สูงเมื่อรถวิ่งได้ 2500 รอบขึ้นไป/การลากเกียร์จะทำให้ชดเกียร์ทำงานจนอายุการใช้งานสั้น
6.เครื่อง 2.0 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด110 กม./ชม./รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
7.เครื่อง 1.6 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 90 กม./ชม. /รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
8.พักรถสัก 15 นาทีเมื่อขับเกิน 4 ชม.เพื่อให้ลดความร้อน/ให้น้ำมันในระบบคลายความร้อนกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
9.เกียร์ถอยกินน้ำมันมากสุด ควรค่อยๆถอยไม่ต้องรีบ /เกียร์ถอยใช้อัตราทดและแรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์
10.ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตรให้ปิด COM แอร์ลดภาระเครื่อง/เป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์และไล่เชื้อราที่อยู่ในนั้นด้วย
11.เช็คลมยางให้สม่ำเสมอทุกๆ 2 อาทิตย์และเมื่อจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด/ลมยางอ่อนวิ่งได้ช้า ขอบยางสึกมากอายุการใช้งานสั้น
12.พยายามอย่าใส่ของไว้ในรถเยอะ/เพิ่มน้ำหนักรถทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 % ตามระยะทาง
ที่มา : www.manager.co.th
13.11.08
บทเรียนราคาแพงจากแบตเตอรี่
นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนความประมาทเลินเล่อและเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ขับรถทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่ขับเป็นอย่างเดียวและไม่คิดที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรักษารถยนต์ด้วยตนเอง ก็ใครจะไปคิดว่าแบตเตอร์รี่ลูกเล็ก ๆ ลูกเดียวจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้มากถึงเพียงนี้
เรื่องมีอยู่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ลูกใหม่ก็เลยขับรถไปเปลี่ยนที่ร้านโดยเลือกแบตเตอร์รี่ชนิดเติมน้ำกรดแล้วใช้งานได้ทันที ไม่นานช่างก็บอกว่าเรียบร้อยแล้วจึงชำระเงินแล้วขับรถไปธุระต่างจังหวัดระหว่างทางเมื่อรถตกหลุมหรือผ่านทางขลุขละมาก ๆ จะได้ยินเสียงดังมาจากเครื่องยนต์แต่ไม่ได้เอะใจเพราะความไม่รู้จึงคิดไปเองว่า “มันเป็นเรื่องปกติ” จนกระทั่งมาถึงปั๊มน้ำมันเลยได้มีโอกาสออกมายืดเส้นยืดสายนอกรถทันใดนั้นก็ได้กลิ่นผิดปกติเล็ดลอดออกมาจากห้องเครื่อง แต่ก็ยังคิดว่า “มันเป็นเรื่องปกติ” แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร
จนกระทั่งจะออกเดินทางต่อ เพื่อนที่มาด้วยรู้สึกถึงกลิ่นที่ไม่ปกติจึงขอเปิดกระโปรงหน้ารถดูถึงกระนั้นก็ยังปลอบใจเพื่อนอีกว่า ไม่มีอะไรหรอก “มันเป็นเรื่องปกติ” แต่ก็ทนการรบเร้าจากเพื่อนไม่ได้จึงยอมเปิดฝากระโปรงให้ดู ทันทีที่เพื่อนเปิดกระโปรงหน้ารถขึ้น สีหน้าก็บอกทันทีว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแน่ ๆ
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เครื่องยนต์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นเครื่องเดียวกับตอนที่เปลี่ยนแบตเตอร์รี่เพราะตอนนี้มันเต็มไปด้วยคราบสีขาว วัสดุที่เป็นยางก็ยุ่ยละลายเป็นจุด ๆ ที่เด่นชัดสุดก็คือตำแหน่งของแบตเตอร์รี่บัดนี้มันเอียงผิดไปจากตำแหน่งเดิม น็อตของสายยึดแบตฯ หลุดหายไป ฝาปิดช่องเติมน้ำกลั่นปิดไม่สนิทตัวถังด้านในด่างเป็นจุด ๆ และยังกระเด็นเลยไปโดนตัวถังด้านนอกอีก โอย!!! ลมแทบจับ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ณ วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออก มันมืดแปดด้าน โชคดีที่ปั๊มนี้มีบริการตรวจเช็คเครื่องยนต์ จึงขอให้ช่างมาดูซึ่งช่างได้เติมน้ำกรดให้ใหม่ปิดฝาให้สนิท ขยับให้แบตฯเข้าที่เข้าทางขันให้แน่น เอาน้ำเปล่ามาราดที่เครื่งยนต์ให้น้ำกรดเจือจางไปบ้างถึงแม้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม แล้วแนะนำให้นำรถเข้าอู่ซ่อมตัวถังและสีเพื่อแก้ไขสิ่งที่น้ำกรดกร่อนโดยเร็ว ก่อนที่จะเสียหายมากไปกว่านี้
เป็นอันว่าธุระก็ไม่ได้ไปและยังต้องขับรถกลับกรุงเทพฯอีกเป็นร้อยกิโล ตลอดการเดินทางกลับนึกโทษตัวเองตลอดว่าทำไมเราไม่สนใจเรื่องการดูแลรักษารถยนต์บ้างนะ แค่เสียเวลาอีกไม่กี่นาทีเพื่อตรวจความเรียบร้อยซ้ำอีกครั้งความเสียหายนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น และเมื่อมาถึงอู่ซ่อมสีช่างได้ตรวจสอบให้อย่างละเอียดปรากฏว่าความเสียหายนั้นมากมายกว่าที่คิด ท่อยางและสายไฟต่าง ๆ ที่โดนน้ำกรดต้องเปลี่ยนใหม่หมด ส่วนที่เป็นโลหะถ้าปล่อยทิ้งไว้สนิมจะขึ้น ชิ้นส่วนไหนที่พอจะขัดออกได้ก็ขัดออกแล้วเคลือบป้องกันสนิมใหม่ ชิ้นส่วนที่เสียหายมากก็ต้องเปลี่ยน นอกจากนี้ ฝากระโปรง,กันชนหน้า,กระจังหน้า,แก้มหน้าซ้าย(ด้านที่แบตฯอยู่) เรียกได้ว่าแทบจะทุกชิ้นส่วนได้รับความเสียหาย วิธีการแก้ไขก็ต้องถอดส่วนต่าง ๆ ออกมาเป็นชิ้น ๆ เพื่อให้ช่างได้ทำงานได้สะดวก แล้วคุณจะรู้สึกยังไงถ้าได้เห็นรถคันงามของคุณในสภาพที่ถูกถอดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เบ็ดเสร็จแล้วงานนี้หมดค่าซ่อมไปหลายหมื่นบาท นับเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต ตั้งแต่วันนั้นคู่มือการใช้รถทีไม่ได้เปิดอ่านเลยตั้งแต่ซื้อรถมาใหม่ ๆ ก็ถูกทำความรู้จักอย่างละเอียดถี่ถ้วนครบทุกตัวอักษรนอกจากนั้นยังได้ทำความรู้จักกับเครื่องยนต์ในจุดต่าง ๆ ว่าเรียกว่าอะไร มีความสำคัญอย่างไรบ้าง เพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่เกิดปัญหาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซ้ำอีก
เพราะแค่นี้ก็ทำให้จำไปจนตายแล้ว!
ที่มา : clicksmartcar.com
12.11.08
ซีวิค ปรับโฉม
วันนี้(6 พ.ย.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวเก๋งคอมแพกต์คู่บุญ “ซีวิค” ที่มาพร้อมการปรับรูปลักษณ์รอบคัน และเสริมระบบนำทางเนวิเกเตอร์แบบทัชสกรีนในรุ่นท็อป(1.8 และ 2.0) ราคาเริ่มต้น 7.49 แสนบาท ถึง 1.101 ล้านบาท
ฮอนด้า ซีวิครุ่นปี 2009 ปรับรูปลักษณ์ภายนอกนิดหน่อย ด้วยกระจังหน้า กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าคมเข้มแบบ Smoked Chrome ไฟท้ายทรงแปดเหลี่ยม ขณะเดียวกันยังเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ เครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงเนวิเกเตอร์แบบสัมผัสหน้าจอ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบนี้ในรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์
ฮอนด้า ซีวิค 2009 มีให้เลือกสามรุ่นหลัก คือ ซีวิค S ซีวิค E และรุ่นสูงสุด ซีวิค EL โดยรุ่น S และ E มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ในขณะที่รุ่น EL ใช้เครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า ทั้งสามรุ่นสามารถใช้ได้กับแก๊สโซฮอล์ E20 เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด โดยฮอนด้า ซีวิค S รุ่นเดียว ที่มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
ด้านสีมีให้เลือก 6 สี คือ ขาวทาฟเฟต้า เทาบลูอิช (เมทัลลิก) เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) ทองโบลด์เบจ (เมทัลลิก) เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) และดำคริสตัล (มุก)
ซีวิค 1.8 S รุ่นเกียร์ธรรมดา ราคา 749,000 บาท (เดิม 732,000 บาท)และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคา 789,000 บาท(เดิม 768,000 บาท) รุ่นเกียร์อัตโนมัติ พร้อมถุงลมคู่หน้า ราคา 831,000 บาท(เดิม 814,000 บาท)
ซีวิค 1.8 E ราคา 909,000 บาท (เดิม 847,000 บาท)มาพร้อมกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ซีวิค 1.8 E Navi ราคา 964,000 บาท ติดตั้งระบบนำทางเนวิเกเตอร์แบบสัมผัสหน้าจอและเครื่องเล่นดีวีดี ทั้งสองรุ่นมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
ซีวิค 2.0 EL ราคา 1,046,000 บาท (เดิม1,026,000 บาท)มีสัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 ตำแหน่ง ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบเกียร์ธรรมดา ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รุ่นสูงสุด ซีวิค 2.0 EL Navi ราคา 1,101,000 บาท มีระบบนำทางแบบสัมผัสหน้าจอ เครื่องเล่นดีวีดีและสัญญาณกะระยะกันชนหลัง 4 ตำแหน่ง
ซีวิค ไมเนอร์เชนจ์ จะจัดแสดงในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008 ระหว่าง 28 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม สำหรับผู้สนใจสามารถสั่งจองได้แล้วที่ผู้จำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าทั่วประเทศ
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
รถยนต์กับสีที่เป็นมงคล
สีรถคนวันอาทิตย์
คนเกิดวันอาทิตย์ ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีชมพู ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันอาทิตย์ ควรใช้รถสีชมพูย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีเขียว ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีดำ หรือ สีม่วง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันอาทิตย์ใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีขาว หรือ สีนวล เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีแดง หรือ สีทอง คนเกิดวันอาทิตย์ใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59, 68 และอายุ 77 ปีห้ามซื้อรถคือ สีชมพู สีโอลด์โรส เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง สำหรับช่วงอายุย่าง 24, 33, 42, 51, 60 และ 69 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียว ทุกชนิด ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีเทา สีควันบุหรี่ เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันอาทิตย์ไม่ควรใช้ รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์สีชมพู, สีเขียว, สีม่วงหรือดำ(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันจันทร์
คนเกิดวันจันทร์ ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีเขียว ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันอาทิตย์ ควรใช้รถสีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีดำ หรือ สีม่วง ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันจันทร์ใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน หมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีชมพู เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีขาว หรือ สีนวล คนเกิดวันจันทร์ใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 22, 31, 40, 49, 58 และอายุ 67 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียว ทุกชนิด สำหรับช่วงอายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59 และ 68 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง ช่วงอายุย่าง 26, 35, 44, 53, 62, 71 และ 80 ขึ้นไป สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอดยกเว้น สีแดง ที่สำคัญ
คนเกิดวันจันทร์ไม่ควรใช้ รถสีแดง หรือ สีทอง อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีแดง หรือ สีทอง อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์สีชมพู, สีเขียว, สีม่วงหรือดำ(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันอังคาร
คนเกิดวันอังคารควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีดำ หรือ สีม่วง ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันอังคารควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันอังคารใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีแดง หรือ สีทอง หมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีเขียว เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีชมพู คนเกิดวันอังคารใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 22, 31, 40, 49, 58 และอายุ 67 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง เพราะเป็นสีกาลกิณีของคนเกิดวันอังคาร สำหรับช่วงอายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างุเข้ามาถึง ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันอังคารไม่ควรใช้ รถสีขาว หรือ สีนวล อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีขาว หรือ สีนวล อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์สีชมพู, สีเขียว, สีม่วงหรือดำ(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันพุธ(กลางวัน)
คนเกิดวันพุธกลางวัน ( เวลา o๖.oo-๑๘.oo น. ) ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันพุธกลางวันควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีแดง หรือ สีทอง ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันพุธกลางวันใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีขาว หรือ สีนวล เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีดำ หรือ สีม่วง เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีเขียว คนเกิดวันพุธกลางวันใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 22, 31, 40, 49, 58 และอายุ 67 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง สำหรับช่วงอายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีเทา ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาว และสีขาวนวล เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันพุธกลางวันไม่ควรใช้ รถสีชมพู อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีชมพู อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์ สีเขียว, สีม่วงหรือดำ(สีใดสีหนึ่ง)รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน สีรถคนวันพุธ(กลางคืน)
คนเกิดวันพุธกลางคืน ( เวลา ๑๘.o๑-o๖.oo- น. ) ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้ - รถสีแดง หรือ สีทอง ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันพุธกลางคืนควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีขาว หรือ สีนวล ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ - รถสีชมพู เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีเขียว ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันพุธกลางคืนใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีดำ หรือ สีม่วง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ คนเกิดวันพุธกลางวันใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59, 68 และอายุ 77 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง สำหรับช่วงอายุย่าง 24, 33, 42, 51, 60 และ 69 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน และสีเหลืองอ่อน ช่วงอายุย่าง 22, 31, 40, 49, 58 และ 67 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างุเข้ามาถึงเช่นกัน ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ คนเกิดวันพุธกลางคืนไม่ควรใช้ รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่านทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์ สีเขียว, สีม่วงหรือดำ(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันพฤหัสบดี
คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันพฤหัสบดีควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีแดง หรือ สีทอง ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีขาว หรือ สีนวล เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีชมพู ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันพฤหัสบดีใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีเขียว เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด คนเกิดวันพฤหัสบดีใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 22, 31, 40, 49, 58 และอายุ 67 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุุที่ย่างเข้ามาถึง ี สำหรับช่วงอายุย่าง 24, 33, 42, 51, 60, 69 และ 78 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียว ทุกชนิด ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันพฤหัสบดีไม่ควรใช้ รถสีดำ หรือ สีม่วง อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีดำ หรือ สีม่วง อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์ สีเขียว, สีชมพูหรือเหลือง(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันศุกร์
คนเกิดวันศุกร์ ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีขาว หรือ สีนวล ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันศุกร์ควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีชมพู ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีเขียว เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีดำ หรือ สีม่วง ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวันศุกร์ใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีแดง หรือ สีทอง เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน คนเกิดวันศุกร์ ใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59, 68 และอายุ 77 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง สำหรับช่วงอายุย่าง 24, 33, 42, 51, 60, และ 69 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีชมพู สีโอลด์โรส ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันศุกร์ ไม่ควรใช้ รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสีย มีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์ สีเขียว, สีชมพูหรือเหลือง(สีใดสีหนึ่ง) รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
สีรถคนวันเสาร์
คนเกิดวันเสาร์ ควรใช้รถ สีที่เป็นมงคล ทำกิจการต่าง ๆ ดังนี้
- รถสีเทา หรือ สีควันบุหรี่ ใช้สำหรับให้ผู้คนรู้สึกเกรงใจ หรือเป็นที่ยำเกรงแด่คนทั่วไป นักการเมืองที่เกิดวันเสาร์ควรใช้รถ สีเขียวย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่น
- รถสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน ใช้สำหรับไปงานมงคลต่าง ๆ อาทิ งานแต่งงาน ตลอกการแสวงหาโชคภาคต่าง ๆ
- รถสีแดง หรือ สีทอง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร, ไฟแนนซ์ เพราะจะทำให้เป็นที่เชื่อถือแก่คนทั่วไป
- รถสีขาว หรือ สีนวล ใช้สำหรับการเดินทางไกล ไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ไปค้าขายที่ไกล ๆ คนเกิดวัวันเสาร์ใช้รถสีนี้แล้วจะประสบความสำเร็จ
- รถสีชมพู เหมาะสำหรับคนที่ทำงานรัฐวิสาหกิจหรือรับราชการ เพราะผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
- รถสีเหลืองแก่ หรือ สีแสด เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนป่วย การใช้รถสีนี้แล้วจะทำให้เดินทางปลอดภัย
- รถสีดำ หรือ สีม่วง คนเกิดวันเสาร์ ใช้รถสีดังกล่าวทำให้ดูเด่นเสริมราศี มีเพื่อนฝูงชื่นชมกันมาก อายุย่าง 23, 32, 40, 49, 58 และอายุ 67 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีเทา สีดำ เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างเข้ามาถึง ี สำหรับช่วงอายุย่าง 23, 32, 41, 50, 59, 68 และอายุย่าง 77 ปี
สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน ช่วงอายุย่าง 18, 27, 36, 45, 54, 63 และ 72 ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีชมพู สีโอลด์โรส ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างเข้ามาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อที่เป็นมงคลได้ตลอด ที่สำคัญ
คนเกิดวันเสาร์ ไม่ควรใช้ รถสีเขียว อย่างเด็ดขาด เป็นสีอัปมงคลสำหรับท่าน ทำให้เกิดการสูญเสียมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงได้ ในกรณีที่มีใช้ รถสีเขียว อยู่แล้ว อาจจะแก้เคล็ดได้โดยการติดสติกเกอร์ สีฟ้า, สีชมพูหรือเหลือง(สีใดสีหนึ่ง)รอบ ๆคันเป็นการแก้เคล็ด โดยให้ร้านประดับยนต์หรือช่างสติกเกอร์ออกแบบให้ดูดี หรือกลมกลืนกับสภาพรถของท่าน
วันออกรถควรเป็นวันไหน?
ไม่ซื้อรถวันอาทิตย์ โบราณท่านว่า ใครซื้อรถในวันอาทิตย์ จะทำให้มีเรื่องร้อนใจหรือต้องเดือดร้อนมาก ท่านแนะนำว่า ให้รีบขายไปเสียเพราะการซื้อรถหรือยานพาหนะในวันอาทิตย์มักเกิดเรื่องไม่ดีเลย
ควรซื้อรถวันจันทร์ ตามตำราท่านว่า ใครซื้อรถวันจันทร์มักโชคดีได้ลาภอยู่เสมอ ทำธุรกิจหรือค้าขายมีกำไรมากบางครั้งมีลาภลอยมาหาอย่างนึกไม่ถึง
ไม่ซื้อรถวันอังคาร ในตำราโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า ใครที่ซื้อรถหรือยานพาหนะในวันอังคารมักจะมีเรื่องเดือดร้อน ทำให้เป็นทุกข์มีปัญหาทำให้เสียเงินทอง บางรายประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรง ก็ปรากฏให้เห็นบ่อย
ไม่ซื้อรถวันพุธ เป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายว่า ใครที่ซื้อรถวันพุธมักจะมีปัญหาต่าง ๆ จนต้องเป็นหนี้สินเขาตลอดด้วยเหตุ นี้เองท่านจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการซื้อรถหรือจองรถในวันพุธ
ไม่ซื้อรถวันพฤหัสบดี โบราณท่านว่า ใครที่ซื้อรถหรือยานพาหนะในวันครูจะทำให้ธุรกิจ หรือการค้าขายเกิดมีปัญหา มีอุปสรรคไม่คล่องตัวอย่างแต่ก่อน และที่สำคัญอาจเกิดเรื่องไม่สบายใจ คือ สามีหรือภรรยาจะมีชู้
ควรซื้อรถวันศุกร์ ตามตำราโหราศาสตร์ไทยท่านว่า ใครที่ซื้อรถหรือยานพาหนะในวันศุกร์ มักมีโชค มีลาภอยู่เสมอ ทำการอะไรก็สะดวกอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะ จะมีลาภและยศกำลังรอท่านอยู่
ไม่ซื้อรถวันเสาร์ ตามตำราโหราศาสตร์ไทยท่านว่า ใครที่ซื้อรถวันเสาร์ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุถึงกับชีวิตได้ด้วยเหตุนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมันก่อน จึงมักห้ามลูกหลานไม่ให้ซื้อรถและเรือในวันนี้เพาะความเชื่อดังกล่าว
ไม่ซื้อรถวันพระ เป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรัษ ไม่ให้ซื้อรถซื้อเรือในวันพระ เพราะอาจจะทำให้ไม่สบายหรือล้มป่วยได้ ศัตรูหรือคู่แข่งจะพากันอิจฉาและอาฆาต
ทั้งหมดที่ได้แจ้งมานี้ สามารถสรุปได้ว่า วันที่ควรซื้อรถหรือยานพาหนะมี 2 วันคือ วันจันทร์ และ วันศุกร์ เท่านั้น นอกนั้นไม่ควรเสี่ยงไปซื้อรถหรือจองรถ เพราะทำให้ท่านยุ่งยากไปเปล่า ๆ บางครั้งถึงกับเสียทรัพย์สิน และบางรายประสบอุบัติ
เหตุถึงกับเสียชีวิติอย่างไม่น่าควรเป็น สำหรับท่านที่เกิด วันอาทิตย์ วันที่ควรซื้อรถหรือจองรถมีเพียงวันเดียว คือวันจันทร์ (ส่วนวันศุกร์นั้นเป็นวันกาลกิณี ของคนที่เกิดวันอาทิตย์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ย่อมไร้ผลให้หลีกเลี่ยงเสีย) ส่วนคนที่เกิด วันอังคาร วันที่ควรซื้อรถหรือจองรถมีเพียงวันเดียว คือ วันศุกร์ ( ส่วนวันจันทร์นั้นเป็นวันกาลกิณี ของคนที่เกิดวันอังคาร ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ย่อมไร้ผลให้หลีกเลี่ยงเสีย)
======== เวลาในการออกรถ ================การพิจารณาหาวันที่ดีและเหมาะสมนั้น(วันมงคล) ก็คือ ห้ามใช้ฤกษ์ที่เป็นวันกาลกิณีกับวันเกิดของเจ้าของรถอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีหลักพิจารณา ดังนี้ คนเกิดวันอาทิตย์ ห้ามใช้ฤกษ์วันศุกร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันจันทร์ ห้ามใช้ฤกษ์วันอาทิตย์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันอังคาร ห้ามใช้ฤกษ์วันจันทร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันพุธ(กลางวัน) ห้ามใช้ฤกษ์วันอังคาร ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันพุธ(กลางคืน) ห้ามใช้ฤกษ์วันพฤหัสบดี ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ฤกษ์วันเสาร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ฤกษ์วันพุธ(กลางคืน) ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง คนเกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ฤกษ์วันพุธ(กลางวัน) ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง เวลาที่ควนนำรถออกจากอู่หรือเต้นซ์ ในแต่ละวันมีดังนี้ วันอาทิตย์ ควรนำรถออกเวลา 06.09-08.39 น. (ฤกษ์ดีมาก)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.39-15.09 น. (ให้โชคลาภ) วันจันทร์ ควรนำรถออกเวลา 09.19-10.05 น. (ฤกษ์ดี)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 16.19-17.59 น. (ให้ลาภและมีเสน่ห์) วันอังคาร ควรนำรถออกเวลา 11.09-12.59 น. (ฤกษ์ใช้ได้)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 06.39-08-29 น. (ช่วงเวลานี้พอใช้ได้) วันพุธ ควรนำรถออกเวลา 08.49-10.59 น. (ฤกษ์ปานกลาง)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.09-15.29 น. (มีโอกาสได้ลาภ) วันพฤหัสบดี ควรนำรถออกเวลา 10.39-11.09 น. (มีโชคลาภ)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 17.09-17.59 น. (ฤกษ์ปลอดภัย) วันศุกร์ ควรนำรถออกเวลา 06.39-08.59 น. (ฤกษ์ดีมาก)และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.39-14.59 น. (ให้โชคลาภ) วันเสาร์ ตามหลกโหราศาสตร์ ถือเป็นวันดุ หรือวันแรงโบราณ ท่านว่าห้ามนำรถหรือยานพาหนะออกจากเต้นท์ หรือจากอู่อย่างเด็ดขาด ควรหลีกเลี่ยง
ที่มา : rahu.moohin.com