31.10.08

จีเอ็ม และ เชฟโรเลต เดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทย

จีเอ็ม และ เชฟโรเลต เดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทย เปิด “ศูนย์การศึกษาเทคโนโลยียานยนต์”

จีเอ็ม และ เชฟโรเลต เดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทย เปิด “ศูนย์การศึกษาเทคโนโลยียานยนต์” ในวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ยกระดับช่างยนต์อาชีวศึกษาสู่มาตรฐานโลก

สุพรรณบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ –
เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ เชฟโรเลต เดินหน้าพัฒนาการศึกษาไทย เปิดโครงการ “ศูนย์การศึกษาเทคโนโลยียานยนต์” ในวิทยาลัยเทคนิค 3 จังหวัด สุพรรณบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ มอบรถยนต์เชฟโรเลตรุ่นล่าสุด สื่อการเรียนการสอน หลักสูตรอบรมคณาจารย์ รวมทั้งแผนการเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ มุ่งยกระดับความรู้ทางเทคโนโลยียานยนต์แก่สถาบันอาชีวศึกษาด้วยมาตรฐานเดียวกับเชฟโรเลตทั่วโลก

บริษัท
เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดพิธีเปิด “โครงการศูนย์การศึกษาเทคโนโลยียานยนต์ในประเทศไทย” หรือ Automotive Service Educational Program in Thailand – ASEP Thailand ขึ้น ณ แผนกช่างยนต์ ในวิทยาลัยเทคนิค 3 จังหวัด ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี และวิทยาลัยเทคนิคประจวบคีรีขันธ์

มร.สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท
เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดโครงการ ASEP Thailand ในวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี และวิทยาลัยเทคนิคประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาทางยานยนต์นั้น ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการสานต่อการพัฒนาการศึกษาไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายโอกาสให้แก่เยาวชนไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยผลิตบุคลากรคุณภาพเพื่อป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการพัฒนาทรัพยากรบุคคลนั้น ถือเป็นรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืนต่อไป

“จีเอ็มและเชฟโรเลตในประเทศไทยได้สานต่อโครงการ ASEP จาก
เจนเนอรัล มอเตอร์ส สหรัฐอเมริกา ซึ่งเราได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาระดับอาชีวะชั้นนำ ในการบริหารสถานที่และ หลักสูตรพิเศษในวิชาช่างยนต์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ของจีเอ็ม ทั้งรถยนต์เชฟโรเลตรุ่นล่าสุด เครื่องยนต์และเครื่องมือแบบต่างๆ ในระดับที่ทัดเทียมกับศูนย์บริการของเชฟโรเลตทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้ฝึกงานกับศูนย์เชฟโรเลต เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหาจากประสบการณ์จริงแล้ว นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ASEP Thailand ยังได้รับการคัดเลือกสู่ธนาคารข้อมูลการจัดจ้างงานของจีเอ็ม เชฟโรเลต และเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 100 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ และนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของเยาวชนไทยต่อไป” มร.สตีฟ คาร์ไลส์ กล่าว

โครงการ ASEP Thailand ภายใต้โครงการ “เชฟโรเลต พัฒนาการศึกษาไทย” เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างจีเอ็มและเชฟโรเลต ประเทศไทย กับสถาบันการศึกษาระดับอาชีวะชั้นนำจากภูมิภาคต่างๆ ในการพัฒนาเยาวชนในสาขาการศึกษาวิชาช่างยนต์เพื่อการเป็นบุคลากรคุณภาพป้อนสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทย โดยจีเอ็มและเชฟโรเลต ได้จัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ด้านยานยนต์ชั้นสูงโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคของบริษัทฯ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติแก่คณาจารย์จากสถาบันที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 11 สถาบันที่เป็นศูนย์กลางของภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งจะถ่ายทอดต่อไปยังนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ ตลอดจนมอบรถยนต์รุ่นล่าสุดที่จำหน่ายในประเทศไทย ตลอดจนอุปกรณ์ และเครื่องมือมาตรฐานของเชฟโรเลตรวมมูลค่าทั้งโครงการฯ ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 55 ล้านบาท
สำหรับโครงการ ASEP Thailand นั้น จีเอ็ม และ เชฟโรเลต จะจัดการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ทั้งในสถาบันและศูนย์บริการของเชฟโรเลต ให้แก่สถาบันอาชีวศึกษาที่เป็นศูนย์กลางการศึกษาอาชีวศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ทั้งสิ้น 11 สถาบันทั่วประเทศ ดังนี้
1. วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
2. วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี จังหวัดชลบุรี
3. วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
4. วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
5. วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี จังหวัดราชบุรี
6. วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
7. โรงเรียนเทคโนโลยีภาคเหนือ จังหวัดนครสวรรค์
8. วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
9. วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม
10. วิทยาลัยเทคนิคประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
11. วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา


ที่มา : newswit.com

30.10.08

ทาทา มอเตอร์ส เดินหน้าโครงการอีโคคาร์

ทาทา มอเตอร์ส เดินหน้าโครงการอีโคคาร์

บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด วางแผนเดินหน้าโครงการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ อีโคคาร์ หลังจากโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (
บีโอไอ) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และขณะนี้ บริษัทฯ กำลังประสานงานกับบีโอไอเพื่อสรุปเนื้อหารายละเอียดของโครงการ

นโยบายเกี่ยวกับอีโคคาร์ของภาครัฐกำหนดให้ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ ในด้านความปลอดภัยและการควบคุมมลพิษ รวมถึงมาตรฐานการปล่อยไอเสีย ‘ยูโร 4’ และรถยนต์ที่ผลิตขึ้นต้องผ่านการทดสอบผลกระทบจากการชนด้วย ซึ่ง ทาทา มอเตอร์ส กำลังดำเนินการพัฒนารถยนต์ที่ได้มาตรฐานดังกล่าวและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังพิจารณาข้อเสนอของนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เพื่อคัดเลือกสถานที่ที่จะเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตรถอีคาร์ ซึ่งต้องใช้พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถอีโคคาร์จะต้องเริ่มการผลิตภายในเวลา 66 เดือนหลังจากโครงการได้รับการอนุมัติ ซึ่งทาทามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการผลิตรถให้ทัน ตามเงื่อนไขที่กำหนด


ที่มา : tatamotors.co.th

29.10.08

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 25” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ ฮอลล์

MOTOR EXPO INFORMATION CENTER
บริการข้อมูล เพิ่มความสะดวกแก่ผู้ชมงาน

ชไมพร ปภัสร์พงษ์ รองผู้อำนวยการ กองพัฒนาธุรกิจและการตลาด แผนกสื่อสารการตลาด บริษัท สื่อสากล จำกัด เปิดเผยว่า ในงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 25” จะจัดให้มี Motor Expo Information Center หรือ จุดให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับงาน ตลอดจนรายละเอียดของรถยนต์ที่แสดงในงาน เช่น ขนาด เครื่องยนต์ ราคา และโพรโมชันต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการเปรียบเทียบรายละเอียดของรถรุ่นที่สนใจ และยังประหยัดเวลา เพราะเจ้าหน้าที่สามารถแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งบูธหรือรถที่ผู้ชมสนใจ รวมถึงโพรโมชันรถรุ่นที่ต้องการ เพื่อให้ผู้ชมงานมุ่งเดินไปยังบูธที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ส่วนกิจกรรมและไฮไลท์ต่างๆของงาน รวมถึงผังงานที่บอกตำแหน่งบูธที่ก็สามารถขอจากเจ้าหน้าที่ ได้เช่นเดียวกัน

Motor Expo Information Center ตั้งอยู่บริเวณทางเข้างาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 25” ทั้ง 3 จุด คือบริเวณทางเข้าฮอลล์ 2 และ ฮอลล์ 3 ใกล้กับจอแอลอีดี โดยในแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการและอำนวยความสะดวก
“เราได้จัดทำซอฟต์แวร์ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลของรถยนต์และสินค้าเกี่ยวเนื่องทั้งหมดในงาน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่จะสามารถช่วยผู้ชมงานให้ทราบรายละเอียดของงาน และรุ่นรถ พร้อมสามารถทำตารางเปรียบเทียบข้อมูลให้ได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด” ชไมพร กล่าวเพิ่มเติม
งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 25” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3
อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 10 ธันวาคม 2551

ที่มา :โปรเฟสชันแนล มีเดีย บิสซิเนส

28.10.08

เบนซ์อมรฯทุ่ม 100 ล้าน

ภาพข่าว: เบนซ์อมรฯทุ่ม 100 ล้าน บุกตลาดรถมือสองทุกยี่ห้อ

กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--เวเบอร์ แชนด์วิค
น.ส.วรรณภา ตั้งบรรยงค์ (กลาง) กรรมการบริหาร บริษัท เบนซ์อมรรัชดา จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเปิดศูนย์รวมรถยนต์มือสองระดับพรีเมียม ภายใต้ชื่อ “อมรรัชดา 1966” โดยจะเป็นรถยนต์นำเข้าทั้งหมด เช่น Alphard, Harrier, Mini, MX5, Beetle เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการและเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2551 นี้ และในโอกาสครบรอบ 42 ปี ทางบริษัทฯ จึงได้จัดงาน “อ๊อคโทเบอร์เฟสต์ 2008”เพื่อขอบคุณลูกค้าและสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด โดยงานนี้จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2551 ณ เบนซ์อมรรัชดา สี่แยกรัชโยธิน ซ. รัชดา 42


ที่มา :newswit.com

27.10.08

มาสด้าเผยโฉม 3 โมเดลเชนจ์ พร้อมลุย 2010

มาสด้าเผยโฉม 3 โมเดลเชนจ์ พร้อมลุย 2010

ตกเป็นข่าวอยู่นานสองนานในที่สุด มาสด้าก็จัดการเผยโฉมใหม่ของคอมแพ็กต์คาร์รุ่นดังอย่าง 3 หรือแอกเซล่าในญี่ปุ่นออกมาแล้ว ประเดิมภาพแรกด้วยตัวถังซีดาน 4 ประตู ส่วนตัวถังอื่นๆ เช่น แฮทช์แบ็ก 5 ประตู คาดว่าคงตามออกมาในอีกไม่นาน ส่วนรุ่นสเตชันแวกอนที่มีข่าวว่าจะเป็นตัวถังใหม่สำหรับมาสด้า 3 รุ่นนี้ยังไม่มีข่าวคอนเฟิร์มออกมาอย่างเป็นทางการในตอนนี้

โฉมใหม่ของ 3 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 สำหรับชื่อนี้ซึ่งมาแทนที่รุ่น 323 หรือ แฟมิเลีย จะเปิดตัวครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์ดชว์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในงานซิดนีย์ มอเตอร์โชว์ ประเทศออสเตรเลียเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา มาสด้าทำเซอร์ไพรส์ด้วยการนำภาพวีดีโอของมาสด้า 3 ใหม่มาฉายในงานเรียกน้ำย่อยกันก่อนเจอคันจริงที่เมืองลุงแซม

อย่างไรก็ตาม ทางมาสด้ายังไม่เปิดเผยข้อมูลและรายละเอียดของตัวรถออกมามากนัก นอกจากภาพชุดแรกของรุ่น 4 ประตู และถือเป็นอีกครั้งที่รถยนต์รุ่นหลักของมาสด้ายึดเวทีต่างแดนในการเปิดตัว เพราะ 3 รุ่นที่แล้วก็เปิดตัวครั้งแรกในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2003

รูปลักษณ์โดยรวมอาจจะดูคล้ายกับ 3 รุ่นปัจจุบันที่กำลังนับถอยหลังตก ส่วนงานออกแบบภายนอกทั้งหมดเป็นการผสมผสานโดยอิงอิทธิพลจากรถยนต์รุ่นใหญ่อย่างมาสด้า 6 ที่เพิ่งเปิดตัวโฉมใหม่เมื่อปีที่แล้ว โดยสเปกของเครื่องยนต์ที่ขายในสหรัฐอเมริกาจะมีเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แล้วขยับขึ้นเป็นรุ่นใหญ่อย่าง 2,500 ซีซีซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่น 2,300 ซีซี


การทำตลาดคาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้าทั้งในญี่ปุ่นและตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรป ส่วนบ้านเราคงต้องรอกันอีกสักระยะ เพราะมาสด้า 3 เพิ่งกระตุ้นตลาดไปอีกรอบด้วยการปรับโฉม และเชื่อว่ากว่าโมเดลเชนจ์จะเข้ามาอาจจะต้องรอจนถึงปี 2010 ก็เป็นได้

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

26.10.08

“ซีวิค” ใหม่ เคาะราคาพลิกโผ เริ่มต้น 7.63 แสน

“ซีวิค” ใหม่ เคาะราคาพลิกโผ เริ่มต้น 7.63 แสน

ฮอนด้า ซีวิค รุ่นที่ 8 ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศไทย โดยมีให้เลือก 4 รุ่นหลักในเครื่องยนต์ 2 ขนาด คือ เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 155 แรงม้า

ซีวิค ใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์แข็งแกร่ง โฉบเฉี่ยวแบบรถสปอร์ต พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ ระบบกันสะเทือนใหม่ เครื่องยนต์และระบบเกียร์พัฒนาใหม่ และห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยระดับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA (Vehicle Stability Assist) ที่ช่วยยึดเกาะถนนให้การทรงตัวดีเยี่ยมในขณะเลี้ยวรถ

++คุณลักษณะเด่นของฮอนด้า ซีวิค ใหม่++
-เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร i-VTEC 140 แรงม้า/6,300 รอบต่อนาที ที่ให้อัตราเร่งที่ดี และประหยัดน้ำมัน
-เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร i-VTEC 155 แรงม้า/6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองลูกค้าที่ชอบความร้อนแรงแบบสปอร์ต ขณะเดียวกันยังรักษาอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานปริมาณไอเสียได้อย่างดี
-มาตรวัด 2 ชั้นแบบ Multiplex Meter บนแผงควบคุมดีไซน์ล้ำสมัย ที่จัดวางข้อมูลสำคัญอยู่เหนือพวงมาลัยใกล้กับระดับสายตาเวลาขับขี่ เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน อ่านง่าย ในขณะเดียวกันลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่จากการลดระดับสายตาเพื่ออ่านมาตรวัด โดยสามารถอ่านค่าความเร็วด้วยตัวเลขแบบดิจิตอล นอกจากนี้ ไฟพื้นหลังสีฟ้าของมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ให้การมองเห็นคล้ายสามมิติ
-พวงมาลัยสามก้านดีไซน์สปอร์ต กะทัดรัด ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ให้กระชับมือ สามารถปรับองศาให้เพิ่มความสะดวกสบายในยามขับขี่ พร้อมทั้งสามารถมองเห็นมาตรวัดต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้น ขณะที่คันเกียร์และเบรกมือถูกจัดวางในตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวกสบาย
-ระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระ รีแอ็กทีฟลิงก์ ดับเบิลวิชโบน เพิ่มความสบายให้การเดินทาง
-ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท ที่เพิ่มเสถียรภาพและการบังคับรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแต่นุ่มนวลยามเลี้ยวและจอดรถ
-ห้องโดยสารมีพื้นที่เหนือศีรษะที่วางเท้าและแขนอย่างไม่แออัด ซึ่งเน้นการเพิ่มพื้นที่โดยสารและลดขนาดของเครื่องยนต์ หัวใจหลักของการออกแบบที่เพิ่มเนื้อที่โดยสาร คือ การออกแบบท้องรถให้ต่ำลง, ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อลดขนาดระบบกันสะเทือนให้ประหยัดเนื้อที่มากขึ้น ที่นั่งด้านหน้าออกแบบให้นั่งสบายในทุกอิริยาบถ และรองรับแผ่นหลังตามหลักสรีรศาสตร์ โดยกว้างขึ้นถึง 20 มิลลิเมตร
-ความปลอดภัย ฮอนด้า ซีวิค ใหม่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้วยระบบกุญแจนิรภัย IMMOBILIZER
-ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA (Vehicle Stability Assist ) ฮอนด้าติดตั้งระบบอัจฉริยะนี้เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมรถ ไม่ว่าจะเป็นยามขับเข้าโค้งเมื่อถนนลื่นจากฝนหรือโคลน ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA จะรักษาเสถียรภาพของรถจากอาการ Oversteering หรือ Understeering โดยจะทำการเบรกล้อด้านในหรือด้านนอก รวมทั้งลดการทำงานเครื่องยนต์และความเร็ว และเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถบนถนนที่ลื่น ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake force Distribution ) จะสามารถควบคุมรถได้ดีแม้ว่าพื้นผิวถนนอาจจะไม่เท่ากันก็ตาม
-ในกรณีเกิดการชน ระบบความปลอดภัยจะทำงานเพื่อเสริมความคุ้มครองแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นถุงลมคู่หน้า และถุงลมด้านข้าง,หมอนรองศีรษะที่นั่งด้านหน้า,เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ 3 จุด และไฟหน้า HID (High-Intensity Discharge) ส่องสว่างได้ไกลกว่าไฟหน้าแบบหลอดฮาโลเจนเพื่อทันศนวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน

เครื่องยนต์ ราคา(บาท)
ซีวิค 1.8 S เกียร์ธรรมดา 763,000
เกียร์อัตโนมัติ 799,000
เกียร์อัตโนมัติ AS 845,000
ซีวิค 1.8 E เกียร์ธรรมดา AS 894,000
เกียร์อัตโนมัติ AS 930,000
ซีวิค 2.0 E เกียร์อัตโนมัติ AS 1,020,000
ซีวิค 2.0 EL เกียร์อัตโนมัติ AS 1,068,000

**หมายเหตุ** AS : ถุงลมคู่หน้าและระบบเบรก ABS

ที่มา : www.manager.co.th

มาสด้า BT-50 อีกหนึ่งตัวเลือกกระบะไทย

มาสด้า BT-50 อีกหนึ่งตัวเลือกกระบะไทย

หลังจากพันธมิตร ฟอร์ด เปิดตัว “เรนเจอร์ใหม่” ไปเมื่อ 2 วันก่อน วันนี้ (9 มี.ค.) ถึงคิวของมาสด้าบ้าง โดยรถปิกอัพใหม่ของมาสด้ามาในชื่อ “ มาสด้า BT-50” และจะเป็นชื่อที่ใช้สำหรับตลาดทั่วโลกด้วย ส่วนความหมายของคำว่า BT-50 นั่น เริ่มจากตัวอักษร BT ย่อมาจาก B-Series Truck ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้เรียกรถปิกอัพมาสด้ามาอย่างยาวนาน และถือเป็นตำนานรถปิกอัพของมาสด้า ในส่วนตัวเลข 50 หมายถึงความสมดุลที่อยู่กึ่งกลางของน้ำหนักการบรรทุกของปิกอัพครึ่งตันและปิกอัพที่มีน้ำหนักบรรทุกมากว่า 1 ตัน

อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าฟอร์ดกับมาสด้าเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นรถปิกอัพใหม่ของทั้ง 2 รายนี้จะใช้เทคโนโลยีตัวเดียวกัน เช่น เครื่องยนต์, ระบบความปลอดภัยที่ใส่ในรถ เป็นต้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของหน้าตาและอุปกรณ์รายละเอียดภายในรถ รวมถึงการตั้งราคาขาย

มาสด้า BT-50 ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยแนวคิดหลัก 5 ประการ คือ การออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และทรงพลังเพื่อสร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่น,การใส่ใจในความประณีตทุกรายละเอียดเพื่อสร้างความสวยงามและความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้เป็นเจ้าของ ,ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเลิศ ด้วยเครื่องยนต์ ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ อินเตอร์ คูลเลอร์ ใหม่ล่าสุด ที่ให้ทั้งความแรงและความประหยัดในเวลาเดียวกัน ,อรรถประโยชน์ใช้สอยเพียบ ทั้งนี้เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานอันหลากหลายได้อย่างลงตัวและยกระดับความปลอดภัยสูงสุดให้เหนือกว่ารถกระบะทั่ว ๆ ไป

ดังนั้นรูปลักษณ์ของมาสด้า BT-50 จึงถูกออกแบบให้มีกระจังหน้าและกันชนหน้า ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน, และด้วยกระจังหนาแบบห้าเหลี่ยมถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า โดยมีแถบโครเมียมติดตั้งไว้เหนือสัญลักษณ์มาสด้าขนาดใหญ่ และในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อทุกรุ่น จะติดตั้งชุดโป่งข้างเหนือซุ้มล้อทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มเสริมความทะมัดทะแมง แข็งแกร่ง ขณะที่รุ่นขับเคลื่อนสองล้อทุกรุ่น จะมีแผงบังโคลนตัวถังเหนือซุ้มล้อที่ออกแบบให้มีแนวเส้นโป่งข้างในตัว ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกันกับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่วนในรุ่นฟรีไตล์แค็บ ไฮ-ไรเดอร์ จะถูกเสริมด้วยแผงโปร่งข้างเหนือซุ้มล้อ และยางขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้โดดเด่นสะดุดตา

ชุดไฟหน้าออกแบบขึ้นมาใหม่ แบบมัลติรีเฟคเตอร์ พร้อมชุดไฟเลี้ยวฝังไว้ในเบ้าด้วยกันและพ่นรองพื้นด้วยสีดำ เพื่อเพิ่มบุคลิกสปอร์ตร่วมสมัย ขณะที่ไฟท้ายได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับชุดไฟหน้า ในบางรุ่นจะถูกติดตั้งมือจับเปิดฝากระบะหลังและสัญลักษณ์ชื่อรุ่น BT-50 แบบโครเมียมเพื่อเสริมความโดดเด่นในกับตัวรถมากยิ่งขึ้น

ล้ออัลลอยลายสปอร์ต ทั้งขนาด 15 และ 16 นิ้ว ออกแบบขึ้นให้สอดคล้องกับแนวเส้นสายของตัวรถ ,สีตัวถังมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งโมโนโทนและสีแบบทู-โทน เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกสรรเฉดสีที่ตรงใจ และในบางรุ่นจะเพิ่มแถบคาดด้างข้างเพื่อช่วยให้ตัวรถดูมีรสนิยม

สำหรับการออกแบบภายในรถเน้นให้เหมือนรถเก๋งชั้นดี ด้วยการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสีแบบทู-โทน โดยใช้สีเทาเป็นสีโทนหลักตัดกับสีเบจ ประดับด้วยวัสดุสีเงินในจุดต่าง ๆ ส่วนแผงหน้าปัดได้รับการออกแบบขึ้นในแนวทางเดียวกันกับแผงหน้าปัดที่มีอยู่ในรถยนต์มาสด้ารุ่นอื่น ๆ โดยเฉพาะชุดมาตรวัดแบบ 3 ช่องวงกลมล้อมกรอบด้วยวงแหวนสีเงิน เพิ่มบุคลิกหรูสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น,ชุดเครื่องเสียง ติดตั้งอยู่บริเวณแผงควบคุมกลาง ตกแต่งด้วยสีเงิน ,การตกแต่งห้องโดยสาร ทั้งบริเวณแผงประตู และชุดเบาะนั่ง ถูกคัดสรรให้มีการตกแต่งทั้งการใช้ไวนิล เบาะผ้าและเส้นใยถักทอเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน

ด้านเครื่องยนต์แน่นอนเป็นตัวเดียวกับฟอร์ด เรนจ์เจอร์ ใหม่ คือ เครื่องยนต์ดีเซล ไดเรคท์อินเจ็คชัน เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ มาพร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดคอมมอนเรล มีให้เลือกทั้งแบบ MZR-CD (WEC) 3000 ซีซี 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร และ MZR-CD (WLC) 2500 ซีซี 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ทั้งคู่ถือได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในรถปิกอัพเมืองไทย (เช่นเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่) เพราะให้แรงบิดสูงสุด เริ่มต้นที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1800 รอบ/นาที

ทั้งสองขุมพลัง มีจุดเด่นในด้านความแรง , ความประหยัด, ความทนทาน จะถูกติดตั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะแบบใหม่เพื่อให้การถ่ายทอดกำลังสู่ล้อขับเคลื่อนเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และนอกจากนี้มาสด้า BT-50 ยังติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ รายแรกในเมืองไทยด้วย

ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ มีระบบการทำงานให้เลือก 2 แบบ คือ แบบคันโยกเปลี่ยนระบบธรรมดา ซึ่งทนทานต่อการใช้งานหนักหน่วง และระบบไฟฟ้า RFW (Remote Free Wheel) ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการทำงานจากขับเคลื่อนสองล้อเป็นสี่ล้อได้เพียงกดปุ่มบริเวณตอนล่างของแผงหน้าปัดและสามารถเลือกเปลี่ยนระบบได้ทั้งที่รถยังแล่นอยู่หรือระบบ On the Fly เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนทำได้อย่างรวดเร็ว

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ดับเบิลวิชโบน และด้านหลัง เป็นชุดแหนบที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ ให้ตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล และยึดเกาะได้ดียิ่งขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง ทรทรหดเพื่อการบรรทุก

นอกจากนี้มาสด้า BT-50 ยังได้รับการติดตั้งกุญแจระบบ Keyless-Entry ในบางรุ่น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการสั่งล็อกและปลดล็อกประตูในขณะที่มือของคุณเต็มไปด้วยสัมภาระ

ระบบความปลอดภัยของมาสด้า BT-50 ใหม่ ติดตั้งระบบเสริมความปลอดภัยไว้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นดิสก์เบรกพร้อมรูระบายอากาศคู่หน้า และระบบดรัมเบรกหลังที่ถูกปรับปรุงให้มีระบบเบรกสั้นลง เหมาะสำหรับการใช้งานของรถปิกอัพ เสริมด้วยการทำงานของระบบ 4W-ABS4 เซ็นเซอร์,นอกจากนี้ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างให้ทำงานกับถุงลมนิรภัยคู่หน้า รวมทั้งสิ้น 4 ใบ

มาสด้า BT-50 ใหม่ มีให้เลือก 3 แบบ ทั้งรุ่นกระบะมาตรฐาน ซิงเกิลแค็บ ราคาเริ่มต้นเพียง 452,900 บาท , รุ่นฟรีสไตล์แค็บ มีบานแค็บเปิดได้ ราคาเริ่มต้นเพียง 516,900 บาท และรุ่นดับเบิลแค็บ 4 ประตู อเนกประสงค์ ราคาเริ่มต้นเพียง 583,900 บาท ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละรุ่น รวมถึงรุ่นท็อปนั้นจะมีการประกาศราคาอีกครั้ง ในงาน มอเตอร์โชว์ ปลายเดือนนี้

ที่มา : www.manager.co.th

25.10.08

ฮอนด้า ปรับโฉม"แจ๊ซ"รับมือ"ยาริส"

ฮอนด้า ปรับโฉม"แจ๊ซ"รับมือ"ยาริส"

ปฎิเสธไม่ได้ว่า "ฮอนด้า แจ๊ซ" เป็นรถที่ได้รับความนิยมอย่างมากขณะนี้ ทั้งนี้เนื่องจากหน้าตา,ประโยชน์ใช้สอย รวมถึงราคาพอลุ้นสำหรับการเป็นเจ้าของ จึงไม่แปลกที่จะเห็นรถ "ฮอนด้า แจ๊ซ" วิ่งเต็มถนนไปหมด จนคู่แข่งทนไม่ไหวต้องปรับแผนด้วยการเปิดตัว "โตโยต้า ยาริส" ออกมาชนแบบเต็ม ๆ

แม้ว่าผลลัพธ์จะยังไม่ออกมาว่า "โตโยต้า ยาริส" จะสามารถเบรกความแรงของ "ฮอนด้า แจ๊ซ" ได้หรือไม่ แต่...วันนี้ ( 28 ก.พ.) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า แจ๊ซ รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ออกมาต่อกรกับโตโยต้า ยาริส แบบทันควัน

สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงของ แจ๊ซ ไมเนอร์เชนจ์ เริ่มจากการออกแบบให้ด้านหน้าและด้านหลังดูโฉบเฉี่ยวแบบรถสปอร์ต พร้อมไฟท้าย LED ใหม่,กันชนหน้าหลังสีเดียวกับตัวรถ,กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ, มือจับเปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ เป็นต้น

ขณะที่รุ่นท็อปจะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมจากรุ่นปกติ คือ โคมไฟหน้าด้านในสีเดียวกับตัวรถ,สปอยเลอร์หลัง, กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว, เบาะสีดำ ,กุญแจรีโมท, มาตรวัดเรืองแสง, กระจกข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า, มือจับเปิดประตูด้านในโครเมียม ,ไฟอ่านแผนที่

และที่พิเศษของแจ๊ซ ไมเนอร์เชนจ์ คือมี "สีเหลือง เฮลิออส" ให้เป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งสีเหลือง เฮลิออส นี้เป็นสีพรีเมียมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่ม "อิน-เทรนด์" ประเทศญี่ปุ่น แต่งานนี้ต้องเพิ่มเงินอีก 10,000 บาทสำหรับแจ๊ซ สีเหลือง เฮลิออส

นอกจากนี้ฮอนด้ายังเตรียมงบประมาณ 50 ล้านบาท ในการบุกตลาดเพื่อสื่อสารให้กับกลุ่มคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 20-25 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของฮอนด้า ว่าแจ๊ซ เป็นรถขนาดซับคอมแพ็คที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

โดยกิจกรรมแรกเริ่ม ณ สยาม ดิสคอฟเวอรี่ เซ็นเตอร์ ภายในงาน “Make The Move” ระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2549 และที่โชว์รูมฮอนด้าทุกแห่ง โดยระหว่างวันที่ 3 มีนาคม ถึง 2 เมษายน จะมีการจัดคาราวาน “Make The Move” แวะเวียนไปกว่า 16 จังหวัดทั่วประเทศอีกด้วย ราคาจำหน่าย ฮอนด้า แจ๊ส ใหม่
รุ่น เครื่องยนต์ ราคา(บาท)
1.5 S M/Ti-DSI 539,000
1.5 S A/Ti-DSI 576,000
1.5 S (AS)i-DSI 611,000
1.5 V M/TV-TEC 595,000
1.5 V A/T V-TEC 632,000
1.5 V A/T (AS)V-TEC 667,000
1.5 SV A/T V-TEC 670,000
1.5 SV A/T (AS) V-TEC 705,000

*** AS : ถุงลมคู่หน้า และ ระบบเบรก ABS

*** สีเหลือง เฮลิออส มีเฉพาะรุ่น SV และต้องเพิ่มเงินอีก 10,000 บาท


ที่มา : www.manager.co.th

ฟอร์ด เรนเจอร์ ชูคอมมอนเรลใหม่...นิรภัยยิ่งกว่า (2)

ฟอร์ด เรนเจอร์ ชูคอมมอนเรลใหม่...นิรภัยยิ่งกว่า

ระบบบังคับเลี้ยวแบบ Ballnut ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทนทาน ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานหนักในรถกระบะโดยเฉพาะ ช่วยให้เลี้ยวและเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ตอบสนองได้ดี พวงมาลัยเพาเวอร์ ที่จะช่วยผ่อนแรงในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ทั้งยังให้ความมั่นคงเมื่อใช้ความเร็วสูง

โครงสร้างตัวถังออกแบบมาเป็นอย่างดีให้สามารถกระจายแรงกระแทกออกไปทั่วคัน คานกันกระแทกด้านข้าง และขอบล่างของตัวถังด้านข้างที่ออกแบบให้ยกขึ้นเล็กน้อย ช่วยเสริมการปกป้องผู้โดยสารภายใน

โครงสร้างเสา B Pillar ที่ถูกซ่อนไว้เพิ่มความปลอดภัยพร้อมกับช่วยให้บานแค็บเปิดออกได้ เพื่อความสะดวกในการขนของขึ้นลง เมื่อปิด บานประตูและบานแค็บจะเข้าล็อคกันสนิทแน่นทำหน้าที่แทนเสา B Pillar ได้อย่างแนบเนียนพร้อมทั้งเน้นรูปลักษณ์ความแข็งแรงของตัวรถอีกด้วย

นอกจากนี้ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างเป็นครั้งแรกในตลาด เพิ่มการปกป้องผู้โดยสารจาก แรงกระแทกด้านข้าง เพิ่มเติมจากถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ Advanced Stage II Airbag system

ขุมพลังใหม่แรงบิดสูงสุดในตลาด
เครื่องยนต์ทรงพลัง ดูราทอร์ก 380 คอมมอนเรล ผสานสุดยอด 2 ขั้วเข้าด้วยกัน คือ แรงบิดสูงสุดในตลาด และประหยัดน้ำมันมากขึ้น เข้ากับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผันอัจฉริยะ ระบบเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ และ Electronic Control Unit (ECU) ที่ติดตั้งโปรเซสเซอร์แบบ 32 บิต สามารถกำหนดและควบคุมการฉีดจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมกับการทำงานของเครื่องยนต์ทุกสถานการณ์

ขณะเดียวกันก็มีการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้มีปริมาณไอเสียต่ำ ทั้งยังลดเสียงและการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย

เครื่องยนต์ดูราทอร์ก TDCi 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตรที่ 1,800 รอบ ต่อนาที และประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นเรนเจอร์ 2.5 ลิตร WLT เทอร์โบรุ่นปัจจุบันถึง 22%

ส่วนเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 156 แรงม้าที่ 3,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,800 รอบต่อนาที ซึ่งมากที่สุดในตลาดรถกระบะบ้านเรา นอกจากนี้ยังซดเชื้อเพลิงน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 15%

อย่างไรก็ตาม ทางฟอร์ด ประเทศไทย ยังไม่เคาะราคาอย่างเป็นทางการออกมา แต่จะไปประกาศในงาน “มอเตอร์โชว์” ที่ ไบเทค บางนา ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 2 เมษายน นี้

ที่มา : manager.co.th

ฟอร์ด เรนเจอร์ ชูคอมมอนเรลใหม่...นิรภัยยิ่งกว่า (1)

ฟอร์ด เรนเจอร์ ชูคอมมอนเรลใหม่...นิรภัยยิ่งกว่า

วันนี้ (7 มี.ค.) ฟอร์ด ได้ฤกษ์เปิดตัว กระบะ “เรนเจอร์ ใหม่” ที่วางเครื่องยนต์ใหม่ ดูราทอร์ก 380 คอมมอนเรล ชูแรงบิดสูงกว่าทุกค่าย พร้อมคงไว้ด้วยความอเนกประสงค์ และระบบนิรภัยมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง บวกกับรูปลักษณ์สไตล์มะกัน โฉมใหม่ดุดันกว่าเก่า แต่แปลกยังอุบราคา รอเผย “มอเตอร์โชว์”

“เรนเจอร์ ใหม่” ตกแต่งภายในห้องโดยสารได้อย่างประณีต ด้วยโทนในสีครีม และวัสดุคุณภาพสูง หรือโทนสีเทาเข้มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค สำหรับขอบแผงหน้าปัดเป็นโครเมียม และทันสมัยด้วยมาตรวัดทรงกลมแบบ 3 ช่อง รับกับช่องแอร์ทรงกลม พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบถ้วนในทุกรุ่น อาทิ เครื่องเล่นวิทยุ-ซีดี MP3


เบาะนั่งออกแบบมาให้รับการสรีระของผู้นั่งมากที่สุด โดยด้านข้างของพนักพิงนูนขึ้นกระชับลำตัวและรับแผ่นหลังได้ดี ตัวเบาะที่ยาวขึ้นกระชับตัวผู้นั่งกว่าเดิมรวมทั้งกระจายน้ำหนักตัวได้ดีขึ้น พนักพิงศีรษะใหญ่ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังปรับปรุงใหม่ให้มีความโค้งเว้า รองรับแผ่นหลังได้ดีขึ้นใกล้เคียงกับรถเก๋ง พร้อมมีที่เท้าแขนให้ด้วย

ด้านประโยชน์ใช้สอยก็มีให้พอตัว อาทิ มีที่วางแก้ว 5 จุด ที่วางขวดน้ำขนาด 1 ลิตรที่ประตูหน้า คอนโซลกลางแบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนสำหรับเก็บของกระจุกกระจิก และด้านล่างสามารถเก็บซีดีได้ถึง 9 แผ่น หรือของที่มีขนาดใหญ่ ด้านช่องเก็บของด้านหน้ามีความจุถึง 8.1 ลิตร

นอกจากนี้ยังปรับปรุงช่องเก็บของด้านหน้า ให้ดึงออกมาเป็นโต๊ะขนาดเล็กสำหรับวางกล่องอาหาร หรือจัดเก็บเอกสารได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกัน “เรนเจอร์ ใหม่” ยังถูกออกแบบให้สามารถบรรทุกของได้มากขึ้น และลากจูงน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 3 ตัน

ระบบความปลอดภัยครบครัน
ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ เป็นรถกระบะรุ่นเดียวในตลาดที่ติดตั้งระบบกระจายแรงเบรก EBD สามารถกระจายแรงเบรกไปทั่วทุกล้อ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS สำหรับเบรกหน้าแบบ 4x4 พร้อมทั้ง piston caliber ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดระยะเบรก ทั้งยังลดการสึกหรอของผ้าเบรก

ใส่ จี-เซ็นเซอร์ (G-sensor) เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งจะทำงานโดยคำนวณอัตราเร่ง ความเร็ว และน้ำหนักบรรทุก ก่อนจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้เหมาะสม มีแชสซีส์ ใหม่ พร้อมเหล็กกันโคลงด้านหลัง ยึดเกาะถนน ควบคุมได้ง่าย และลดการโคลง โช้กอัพที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น และโช้กอัพแก๊สขนาด 32 ม.ม. เพิ่มความมั่นคงของรถ

ที่มา : manager.co.th

24.10.08

ในส่วนของเงื่อนไขการรับประกันนั้น บริษัทจะรับประกันระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ซีเอ็นจี ในรถเชฟโรเลต ออพตร้า 1.6 ลิตร ที่ได้รับการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจีที่บริหารและจัดการโดย เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยเท่านั้น ส่วนระยะการรับประกันจะนับจากวันที่รถยนต์ได้ผ่านการตรวจสอบระบบการติดตั้งระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นวันเริ่มต้นการรับประกัน

"ลูกค้าที่สนใจสามารถแสดงความจำนงต่อศูนย์บริการเชฟโรเลตทั่วประเทศในการติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจี โดยเปิดโอกาสให้ทั้งลูกค้าที่ใช้รถยนต์เชฟโรเลต ออพตร้า 1.6 ลิตรอยู่แล้ว หรือสามารถสั่งจองรถใหม่ที่ติดตั้งระบบก๊าซซีเอ็นจีแล้วเสร็จก่อนรับรถก็ได้ ซึ่งลูกค้าจะได้รับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในมูลค่า 10,000 บาท ตามเงื่อน ไขของ ปตท."

นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด ซีเอ็นจี ออกสู่ตลาดเพื่อเป็นพลังงานทางเลือกให้กับผู้บริโภค และส่งเสริมนโยบายลดการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศด้วย โดยรถรุ่นนี้จะติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแบบผสมที่เรียกว่า dual-fuel นั่นคือ การเผาผลาญเชื้อเพลิงโดยการฉีดผสมร่วมกันของทั้งน้ำมันดีเซลและก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทดสอบและทดลองติดตั้ง โดยตกลงให้ยูเอส เอเนอร์จี คอร์ปอเรชั่น (US Energy) เป็นผู้ผลิตระบบเชื้อเพลิงแบบ dual-fuel นี้ ป้อนให้กับทางบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับการริเริ่มติดตั้งเชื้อเพลิงแบบผสมในรถกระบะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยของทางเชฟโรเลตนี้ เนื่องจากรถกระบะเป็นรถที่มีความต้องการสูง มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในประเทศ และเมืองไทยยังเป็นตลาดรถกระบะใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียว

นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตรถกระบะในเมืองไทยสะสมในปี 2548 มีจำนวนทั้งสิ้น 823,000 คัน ซึ่งคาดว่ายอดการผลิตจะพุ่งถึง 1 ล้านคันในปี 2549 นี้ โดยเป็นยอดการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 38%

ขณะที่ศูนย์การผลิตรถยนต์เจนเนอรัล มอ เตอร์ส ที่จังหวัดระยอง ได้ลงทุนเพิ่มอีกกว่า 2,700 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานทำสีแห่งใหม่ และจะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตจาก 110,000 คันต่อปี เป็น 160,000 คันต่อปี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการรถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทย และเพื่อการส่งออกในตลาดอีก 100 ประเทศทั่วโลก

สำหรับเชื้อเพลิง 2 ระบบในรถเชฟโรเลต โคโลราโด จะเป็นแบบดูอัลฟิว (dual fuel) โดยใช้น้ำมันดีเซลและก๊าซซีเอ็นจี ซึ่งสามารถทำงานพร้อมกันแบบฉีดผสม หรือสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำมันแบบ 100% ได้ และขณะที่ระบบทำงานแบบฉีดผสมนั้น จะเป็นการใช้ในสัดส่วนของก๊าซซีเอ็นจี 80% และน้ำมันดีเซล 20%

"การแนะนำรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด ซีเอ็นจี แบบระบบ dual fuel ในตลาดรถกระบะของประเทศไทยเป็นครั้งแรกนั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเชฟโรเลต ในการเป็นผู้นำในด้านการเสนอนวัตกรรมแนวใหม่ เทคโนโลยีแบบใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้แก่ลูกค้าชาวไทยมากยิ่งขึ้น เช่นที่ผ่านมาเราเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของรถกระบะเมืองไทย ด้วยการแนะนำระบบล็อกเฟืองท้ายกลไกอัตโนมัติ G80 diff-lock ที่มีแต่ในเชฟโรเลต โคโลราโด เพียงผู้เดียวเท่านั้น"

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

เพิ่มทางเลือกใหม่"ออพตร้า"ซีเอ็นจี "จีเอ็ม"เอาใจลูกค้ารับกระแสน้ำมันแพง

เพิ่มทางเลือกใหม่"ออพตร้า"ซีเอ็นจี "จีเอ็ม"เอาใจลูกค้ารับกระแสน้ำมันแพง (มีต่อ)

"เชฟโรเลต" เดินเครื่องรถประหยัดเชื้อเพลิงเต็มตัว ส่ง "ออพตร้า ซีเอ็นจี" ลงตลาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมวารŒแรนตีแบบฟูลสเกล หวังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าในยุคน้ำมันแพง เตรียมศึกษา "โคโรลาโด ซีเอ็นจี" อีกรุ่น เผยเป็นเจ้าแรกในตลาดที่ทำอย่างจริงจัง คาดเปิดตัวได้ปลายปีนี้ นายวิลเลี่ยม บอทวิค ประธานกรรมการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดตลาดรถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มตัว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทยในการได้ใช้รถพลังงานทางเลือก ในช่วงวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันแพง ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงให้กับประเทศ นอกจากนี้เชฟโรเลตยังเผยถึงรายละเอียดในการรับประกันคุณภาพระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ซีเอ็นจี (CNG) ที่ติดตั้งในรถยนต์เชฟโรเลต ออพตร้า เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร ที่พร้อมออกจำหน่ายให้กับผู้บริโภคมาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

"จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากในตลาดโลก สร้างปัญหาให้กับทั้งคนไทยและคนทั่วโลก จึงทำให้ทางเชฟโรเลตตัดสินใจบุกเบิกติดตั้งระบบพลังงาน 2 เชื้อเพลิง (Bi-fuel) ที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีในรถเชฟโรเลตออพตร้า เพื่อเป็นทางเลือกให้คนไทยได้ใช้รถยนต์ที่มีความประหยัดค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น เพราะราคาของก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีถูกกว่าราคาน้ำมันถึงกว่า 3 เท่า และยังเป็นการช่วยให้ประเทศไทยลดปริมาณการใช้ การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศอีกด้วย ขณะเดียวกันเชฟโรเลตก็มีความพร้อมทางเทคโนโลยีที่จะเอาเข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ ใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบที่เรามีมานานในตลาดโลกของจีเอ็ม และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ การติดตั้งระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ซีเอ็นจี จะทำให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากถึงกว่า 3 เท่าตัว หลังจากที่ราคาน้ำมันเบนซินขยับตัวสูงขึ้นถึง 30.18 บาท ต่อหนึ่งลิตร ขณะที่ราคาก๊าซซีเอ็นจีหรือเอ็นจีวีนั้น มีราคาเพียง 8.50 บาทต่อลิตร (ราคา ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2549)

สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงก๊าซ ซีเอ็นจีในรถออพตร้า ซีเอ็นจี ซีดาน และออพตร้า ซีเอ็นจี เอสเตท รุ่น 1.6 ลิตรนั้น จะเป็นระบบไบ-ฟิว (Bi-fuel) สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน หรือก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจี แต่ในกรณีที่รถยนต์ใช้ก๊าซจนหมดถังแล้ว ระบบจะเปลี่ยนเป็นการใช้น้ำมันโดยอัตโนมัติ

ด้านนายจอห์น ธอมสัน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจในคุณภาพรถยนต์ และเพื่อเป็นการช่วยผู้บริโภคจึงได้มีการติดตั้งอุปกรณ์เชื้อเพลิง 2 ระบบ ในรถยนต์เชฟโรเลตออพตร้า ซึ่งลูกค้าสามารถมั่นใจได้ในคุณภาพของตัวรถ และอุปกรณ์ที่ติดตั้งนี้ว่ามีความแข็งแรง ปลอดภัย

เพราะบริษัทได้ทดสอบระบบที่ติดตั้งในเชฟโรเลต ออพตร้า อย่างหนักหน่วง ตามสภาพการใช้งานจริงในประเทศไทย ด้วยระยะทางทดสอบเกินกว่า 200,000 กิโลเมตร โดยมีชั่วโมงการทำงานติดต่อกันเกือบ 20 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งในขณะนี้ยังไม่พบปัญหาใดๆ กับเครื่องยนต์ และเพื่อเป็นการยืนยันความมั่นใจ บริษัทจึงรับประกันคุณภาพของระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจีถึง 3 ปีเต็ม หรือ 100,000 กิโลเมตร น่าจะช่วยให้ผู้บริโภควางใจและตัดสินใจมาใช้รถยนต์ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงก๊าซซีเอ็นจีนี้ได้ง่ายขึ้น

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ลีสซิ่งงัดโปรโมชั่นดึงยอดขายไตรมาส4 (2)

เล็งขึ้นดอกเบี้ยเช่าซื้อรถ0.10-0.20% ลีสซิ่งงัดโปรโมชั่นดึงยอดขายไตรมาส4

"กลยุทธ์การตลาดหลังจากนี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่ดีลเลอร์ขายรถยนต์ที่เป็นพันธมิตรกับเรา รวมทั้งเพิ่มความสำคัญในการเจาะฐานลูกค้าของธนาคารแม่กสิกรไทย โดยจะส่งพนักงานขายเข้าไปอยู่ตามสาขาของธนาคารแม่ นอกจากการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยทั่วไปแล้ว พนักงานของเราจะสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนำรถมารีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินไปตกแต่งบ้านหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น ซึ่งคาดว่าเป้าหมายปีนี้น่าจะทำได้ตามเป้า 11,500 ล้านบาท เพราะครึ่งปีแรกปล่อยไปแล้ว 50% ที่เหลือออกแรงผลักเต็มที่

"นายอิสระกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การปล่อยกู้ ช่วงนี้คงต้องระมัดระวังขึ้น เพราะเริ่มเห็นสัญญาณว่าจะเกิดหนี้เสีย (NPL) มากขึ้น โดยลูกค้าที่ไม่เคยค้างค่างวดก็เริ่มค้าง แสดงว่าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ทำให้มีปัญหาเรื่องการผ่อนชำระ ซึ่งบริษัทพยายามเข้าไปติดต่อลูกค้าที่มีปัญหาบ่อยขึ้น เพราะสถานการณ์เช่นนี้ผู้ปล่อยกู้รายใดติดต่อลูกค้าบ่อยและรวดเร็วกว่าจะได้รับชำระหนี้ก่อน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้เสียของบริษัทยังอยู่ระดับ 0.20% ของยอดการปล่อยเช่าซื้อทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเพิ่งเปิดดำเนินการมาได้เพียง 1 ปี

"น่าจับตาดู ในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจแย่ลง มีคนร้อนเงินมากขึ้น ได้เห็นผิดเป็นชอบ เข้าไปร่วมอยู่ในขบวนการแก๊งมิจฉาชีพ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ขอกู้เช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจากคุณสมบัติที่ครบถ้วน และเปลี่ยนหน้ามาบ่อยๆ ทำให้หลายบริษัทลีสซิ่งไม่สามารถเช็กข้อมูลจากเครดิตบูโรได้ เลยโดนแก๊งนี้หลอกเชิดรถหนีไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขนาดใหญ่ราคาแพง" นายอิสระกล่าว

นายฉัตรชัย แก้วบุตตา ประธาน บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (1991) จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้บริษัทเข้มงวดการปล่อยเงินกู้มากขึ้น เนื่องจากปลายปีที่แล้วถึงปัจจุบันมีหนี้เสียและลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน เกือบ 5% จากเดิม 3% ซึ่งบริษัทได้เข้าไปดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด และปรับโครงสร้างหนี้ให้ ทั้งยืดหนี้ ลดค่างวด เป็นต้น แต่สำหรับรายที่ปรับโครงสร้างหนี้ไม่ได้จริงๆ บริษัทจะทำการยึดรถคืน ซึ่งขณะนี้ตัวเลขยึดรถเพิ่มขึ้นเกิน 10% แล้ว ขณะที่ยอดไถ่ถอนคืนลดลง จากเดิมรถยนต์มียอดไถ่ถอนคืนหลังจากโดนยึด 90% เหลือ 80% รถจักรยานยนต์ 90% เหลือ 70%

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

23.10.08

ลีสซิ่งงัดโปรโมชั่นดึงยอดขายไตรมาส4 (1)

(1)เล็งขึ้นดอกเบี้ยเช่าซื้อรถ0.10-0.20% ลีสซิ่งงัดโปรโมชั่นดึงยอดขายไตรมาส4 (มีต่อ)

ตลาดลีสซิ่งซบ แต่ยังหวังไตรมาส 4 ตลาดรถจะคืนชีพ ดึงสินเชื่อดีขึ้น พร้อมขนผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่นออกประชัน ขณะดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง "ธนชาต" คาดถึงสิ้นปีขึ้นแค่ 0.10-0.15% ขณะ "ลีสซิ่งกสิกร" ประเมินขึ้นอีก 0.20% และอาจขึ้นทีเดียวในไตรมาส 3 เพื่อไม่ทำลายบรรยากาศซื้อขายรถช่วงไฮซีซั่น ย้ำยังปล่อยสินเชื่อเข้มงวด เหตุเห็นสัญญาณ NPL เพิ่ม พร้อมชี้แก๊งเช่าซื้อแล้ว เชิดรถเริ่มระบาด มาเหนือเมฆเครดิตบูโรก็ช่วยไม่ได้ ด้าน "ศรีสวัสดิ์" ระบุยอดยึดรถสูงเกิน 10% ขณะยอดไถ่ถอนลดทั้งมอเตอร์
ไซค์-รถยนต์

นายอนุชา มีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส สายพัฒนาผลิตภัณฑ์เช่าซื้อ ธนาคารธนชาต เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในช่วงนี้ชะลอตัวลงตามภาวะตลาดรถยนต์ที่มียอดการขายลดลง โดย 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถใหม่ติดลบถึง 3% จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี และราคาน้ำมันดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นชะลอการซื้อรถยนต์ใหม่ อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาดูไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะมียอดขายรถสูงกว่าไตรมาสอื่น

"คาดว่าช่วงท้ายปีนี้ บริษัทลีสซิ่งจะต้องออกแคมเปญโปรโมชั่นแข่งขันกันกระตุ้นยอดขายกันอย่างมาก รวมทั้งธนชาตด้วย ที่จะทำการตลาดผ่านพันธมิตรที่เป็นดีลเลอร์รถยนต์ทั่วประเทศ สำหรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะขึ้นอีก 0.10-0.15% จากปัจจุบันรถใหม่อยู่ที่ 3.65% รถเก่าเริ่มต้นที่ 3.75% ขึ้นอยู่กับสภาพและอายุการใช้งาน" นายอนุชากล่าว

นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่ง กสิกรไทย กล่าวว่า ดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถในปีนี้คงขยับขึ้นอีก 0.20% ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปรับขึ้นในรูปแบบใด ระหว่างการทยอยขึ้นไตรมาส 3 และ 4 ไตรมาสละ 0.10% กับขึ้นทีเดียว 0.20% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วง โลว์ซีซั่น เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในช่วงไฮซีซั่นปลายปี สำหรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อของลีสซิ่งกสิกรไทย ปัจจุบันรถใหม่ อยู่ที่ 3.55% รถเก่า เริ่มต้นที่ 4%

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

บีเอ็มฯระเบิดศึกเครื่อง"ดีเซล" เข็นซีรีส์5เคาะราคาแค่3.5ล้าน

บีเอ็มฯระเบิดศึกเครื่อง"ดีเซล" เข็นซีรีส์5เคาะราคาแค่3.5ล้าน

"บีเอ็มฯ" ระเบิดศึกดีเซล ส่ง 520d ชิมลางเป็นตัวแรก เคาะราคาที่ 3.5 ล้านบาท พร้อมออปชั่นเพียบ จับกลุ่มผู้บริหารระดับสูง มีโปรแกรมดูแลรักษารถฟรี 5 ปี เตรียมส่งมอบรถกันยายนนี้ นายฟรังค์ เริสเลอร์ ประธาน บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ด้วยการนำเอารถยนต์ 520d เข้าสู่ตลาดรถยนต์หรูระดับผู้บริหารในประเทศไทย โดยรถยนต์ 520d นี้เป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทย ที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง จังหวัดระยอง มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับสื่อมวลชนและลูกค้าได้ยลโฉมในช่วงต้นเดือนกันยายน และพร้อมที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้าผู้สั่งจองได้กลางเดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูได้ตั้งราคา 520d ไว้ที่ 3.5 ล้านบาท โดย 520d นี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นล่าสุด ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยซีรีส์ 5 พลังงานดีเซลรุ่นนี้สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 ก.ม.ต่อ ช.ม.ได้ภายในเวลาเพียง 8.6 วินาที มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยในระดับ 14.5 กิโลเมตรต่อน้ำมันดีเซล 1 ลิตร มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที และแรงบิดในระดับเกิน 300 นิวตันเมตรนั้น จะคงอยู่ต่อเนื่องถึง 3,500 รอบต่อนาที

"เทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลของบีเอ็มดับเบิลยูนั้น ถือได้ว่าล้ำหน้าและเป็นที่ต้องการของตลาดพอสมควร โดยเฉพาะตลาดสำหรับผู้บริหารที่ต้องการรถยนต์ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันดีเยี่ยม แต่ก็มีสมรรถนะและความปราดเปรียวที่เป็นบีเอ็มดับเบิลยูแท้ๆ ด้วยลักษณะทางเทคนิค ผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำให้ 520d มีอัตราเร่งที่ปราดเปรียว และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 14.5 กิโลเมตรต่อหนึ่งลิตร จัดได้ว่าเป็นการตอบสนองความต้องการหลักๆ สองแง่มุมได้ในเวลาเดียวกัน"

นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู 520d ยังมีโปรแกรมการดูแลรักษารถ "อุ่นใจห้าปีกับบีเอ็ม ดับเบิลยู" อันเป็นการดูแลรถยนต์จากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ด้วยอะไหล่แท้ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ด้วยโปรแกรมนี้จะทำให้ลูกค้าผู้ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูไม่จำเป็นต้องวิตกเรื่องการซ่อมบำรุงตลอดระยะเวลาการเป็นเจ้าของถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

รวมทั้งลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของ 520d ได้ด้วยโปรแกรมทางการเงินหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรูปแบบการเช่าซื้อที่เรียกว่า BMW Value Plus ที่ใช้เงินมัดจำเริ่มต้น ชำระรายเดือนต่ำ และผู้ซื้อสามารถที่จะเลือกในตอนจบสิ้นสัญญาถึง 3 วิธี ได้แก่ การชำระเงินบัลลูน (หรือรีไฟแนนซ์ เงินบัลลูน) เพื่อเป็นเจ้าของต่อไป การเปลี่ยนรุ่นรถด้วยการโอนเงินมัดจำเริ่มต้นไป เป็นเงินมัดจำสำหรับคันต่อไป หรือเพียงแค่คืนรถและรับเงินมัดจำเริ่มต้นคืน โดยวิธีนี้จะทำให้ลูกค้าไม่ต้องวิตกเรื่องภาระในการเป็นเจ้าของ หรือภาระในเรื่องราคาขายต่อของรถ

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข้อควรคิดก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์

ข้อควรคิดก่อนตัดสินใจเลือกทำประกันรถยนต์

“เลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะสมกับราคา”นายวินทัต ตันยะกุลที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์เอ๊กซ์เพรสเซ็นเตอร์ กล่าวในรายการ Smart Money ถึงประเด็นที่ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ว่า ควรต้องพิจารณาถึงที่มา ประวัติการทำงานการบริหารจัดการของบริษัทประกันเป็นสำคัญ รองลงมาคือการตรวจสอบโบรกเกอร์หรือตัวแทนที่ทำหน้าที่ขายประกันว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ ถัดจากนั้นคือการพิจารณาถึงบริการหลังการขาย โดยหากเราไม่ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนอาจต้องมาเสียใจภายหลัง เนื่องจากบริษัทประกันภัยอาจเลิกกิจการโดยที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ โดยอาจสอบถามข้อมูลจากโชว์รูมรถยนต์ อู่ หรือศูนย์ซ่อมรถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเคยทำงานกับบริษัทประกันภัยต่าง ๆ และทราบดีว่าแต่ละแห่งมีประวัติการจ่ายค่าสินไหม หรือพฤติกรรมในการ Claim ค่าความเสียหายเป็นอย่างไร

ในการตัดสินใจซื้อยังควรคำนวณเบี้ยประกันของหลาย ๆ รายเปรียบเทียบกันด้วย โดยปกติแล้ววงเงินการรับประกันภัยจะอยู่ที่ 80% ของราคารถยนต์ แต่การแข่งขันที่สูงในธุรกิจประกันภัยอาจทำให้มีนโยบาย การให้บริการ หรือการกำหนดเบี้ยประกันแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงพฤติกรรมหรือลักษณะนิสัยในการขับรถของผู้เอาประกันอีกด้วย

ทั้งนี้ เบี้ยประกันแบบไม่มี Deductible หรือ ความรับผิดในค่าเสียหายส่วนแรกจะถูกกว่าแบบที่มี Deductible กล่าวคือ จะมีการตกลงกันในกรมธรรม์เอาไว้ว่า ผู้เอาประกันภัยยินดีที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุในวงเงินที่กำหนดเบื้องต้น เช่น 5,000 บาท และจากนั้นบริษัทประกันภัยจึงค่อยจ่ายค่าความเสียหายส่วนที่เหลือจากที่ตกลงกันไว้คือตั้งแต่ 5,001 บาทขึ้นไป การทำประกันแบบมี Deductible นี้จะช่วยให้ผู้เอาประกันเสียค่าเบี้ยประกันถูกลง

นอกจากนี้ รูปแบบของการทำประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย อาทิ แบบ Low Cost หรือแบบประกันชั้น 3 Plus ซึ่งผู้เอาประกันจะต้องพิจารณาเปรียบเทียบและศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ และที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือประกันภัยชั้น 1 ปลอม ที่หากินกับความโลภของผู้บริโภค โดยแอบอ้างว่ารู้จักกับผู้บริหารบริษัทประกันภัย ทำให้จ่ายเบี้ยประกันภัยในราคาถูก ทั้งนี้วิธีการป้องกันอาจทำได้โดยตรวสอบกับคณะกรรมการประกันภัยหรือกรมการประกันภัยว่า บริษัทนั้น ๆ ได้รับใบอนุญาตจริงหรือไม่ หรืออาจสั่งซื้อประกันไปก่อนแล้วจึงค่อยนำเลขที่กรมธรรม์มาตรวจสอบก่อนที่จะจ่ายเงินก็ได้

รถแต่ง

รถแต่ง

รถที่แต่งจนสมบูรณ์แล้ว
รถแต่ง คือรถยนต์ที่ได้รับการเปลี่ยน ดัดแปลง (โฟร์ดิฟาย) หรือปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ รูปลักษณ์ภายนอก ภายใน ประสิทธิภาพ ให้ผิดเพี้ยนไปจากที่โรงงานผลิตขึ้น ทั้งนี้การแต่งรถนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน
เงินงบประมาณ และความต้องการส่วนบุคคล ปัจจุบันมีโรงงานหรือบริษัทที่ผู้ผลิตอุปกรณ์แต่งรถอยู่หลายราย ทั้งที่ผลิตในประเทศไทย นำเข้าจากต่างประเทศ และจากที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้ผลิตขึ้นเพื่อรองรับการแต่งรถยนต์ที่เป็นยี่ห้อของตนเอง ผู้แต่งรถสามารถดัดแปลงตกแต่งได้หลายรูปแบบ อาจจะตกแต่งปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หรือดัดแปลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่พอสมควรที่อาจทำให้สภาพของรถนั้นไม่เป็นไปตามต้องการ หรือเสื่อมสภาพลงไปจากเดิม ชิ้นส่วนที่นิยมแต่ง เปลี่ยน ดัดแปลง เช่น ล้อแม็ก ตัวถัง รูปทรง อุปกรณ์ภายนอก ผู้แต่งรถที่ต้องการความโดดเด่นของตัวรถแต่เพียงอย่างเดียว ก็จะปรับแต่งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่ปรับแต่งสมรรถนะของรถ

ที่มา : th.uncyclopedia.info

ประวัติความเป็นมา

ประวัติความเป็นมา

ก่อนช่วงปฎิวัติวิศวกรรมอุตสาหการ และวิศวกรรมเครื่องกล ยานพาหนะของผู้คนในสมัยนั้นยังไม่มีใช้ขับขี่ เลยทำให้จำใจต้องเดิน, วิ่ง หรือขี่ช้างม้าวัวควาย ฯลฯ ทั้งที่ขี้เกียจ แต่อยากขยับ อยากเคลื่อนที่ ก็เลยต้องทำ แต่หลังจากนั้น ได้มีการ์ใช้แรงดันน้ำมันมาขับเคลื่อน ก่อให้เกิดยานพาหนะแบบใหม่ ที่ไม่ต้องอาศัยแรงของคนหรือสัตว์ แต่ก่อมลพิษสูง

ในปี ค.ศ. 1888886 คาร์ เบนซ์ (Car Benz) วิศวกรชาวเย่อแล้วมัน ได้สร้างรถยนต์ที่กินน้ำมันตับปลาเป็นอาหารคันแรกของโลกได้สำเร็จ (Benz Parents' Motor-estate) (ดังนั้น คำว่า Car ในภาษาอังเกรียนนั้นมีที่มามาจากชื่อของท่านผู้นี้นี่เอง) โดยใช้โครงสร้างแบบลูกสูบ ซึ่งถูกวงไอน้ำนำไปทดลองสร้างลอกเลียนแบบในเวลาต่อมา โดยทางวงไอน้ำได้เพิ่มอุปกรณ์ช่วยเผาไหม้เชื้อเพลิง และเพิ่มวาล์ว ID และ Iเสีย ก่อให้เกิดเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ซึ่งกลุ่มผู้สร้างได้ขายลิขสิทธิ์ให้กับทางฮอนด้า และทำให้ "เครื่องยนต์สี่จังหวะต้องฮอนด้า" ในเวลาต่อมา ซึ่งวลีดังกล่าวนั้นหมายความว่า ฮอนด้าเป็นผู้นำในตลาดเครื่องยนต์สี่จังหวะ

เครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงในยุคแรกๆ นั้น ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง ต่อมา ปี 1899997 วิน ดีเซล พยายามคิดค้นพลังงานอื่นมาใช้กับเครื่องยนต์ จนสำเร็จเป็นเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็ไม่เห็นมีใช้กับรถจักรยานยนต์เลยสักที คาดว่าเครื่องยนต์ดีเซลนั้นต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าน้ำมันดีเซลนั้นใช้เติมได้เฉพาะกับรถยนต์บางคันเท่านั้น

ที่มา : th.uncyclopedia.info