บางกอกมอเตอร์โชว์ 2009: Peugeot เปิดตัวรถยนต์ใหม่ 4 รุ่น พร้อมโชว์ตัว Peugeot 407 Facelift
by Eddie on March 26, 2009
Peugeot ประเทศไทย พร้อมบริษัทพันธมิตร เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 4 รุ่น ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 30 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยมี highlight ของงานคือ Peugeot 407 Facelift ใหม่ที่เคยเปิดตัวในงาน Paris Auto Show ในปีที่ผ่านมา พร้อมแคมเปญลดแหลกแจกแถมเพียบ
รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้จากข่าวด้านล่างครับ
เปอโยต์ประเทศไทย ปลุกกระแสตลาดรถยนต์ยุโรปอีกครั้งด้วย เปอโยต์ 407 เฟซลิฟท์ ตัวต่อเปอโยต์ 406 ที่ครั้งหนึ่งได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย พร้อมยังนำรถยนต์อีก 3 รุ่น ได้แก่ เปอโยต์ 206 พร้อมชุดแต่ง 206 RC LINE, 207CC กับชุดแต่ง 207CC RC LINE และ เปอโยต์ เอ็กซ์เพิร์ต ซึ่งถือว่าครอบคลุมประเภทรถยนต์ตั้งแต่ซิตี้คาร์ ไปจนถึง รถยนต์นั่งขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เปอโยต์ยังคงจุดขาย รถยนต์ยุโรปสมรรถนะสูงที่เหนือกว่าด้วยรูปลักษณ์การดีไซน์ พร้อมยังชู เปอโยต์ บลูไลอ้อน มาตรฐานรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มากับรถยนต์ที่โชว์ในงานทุกรุ่น อีกทั้งยังมีโปรโมชั่นประกันภัยชั้น 1 สำหรับรถยนต์ทุกคันที่จองในงาน โดยปีนี้ยังคงแนวความคิดที่ให้รถยนต์เปอโยต์มาสร้างสีสันในการขับขี่ของคุณ ด้วยแคมเปญ Peugeot Fashionate Your Life โดยทั้งหมดนี้ ท่านจะพบได้ในงาน มอเตอร์โชว์ 2009 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2009 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
เปอโยต์ประเทศไทย โดย บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์ คาร์ส จำกัด (อีเอ็มซี) และ บริษัท ยนตรกิจ ออโตโมบิลส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย รถยนต์เปอโยต์อย่างเป็นทางการ ในประเทศไทย โดย นายพลกฤษณ์ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร เปิดตัวรถยนต์ทั้ง 4 รุ่น โดยสำหรับงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ เปอโยต์ได้นำเปอโยต์ 407 Facelift มาเป็นไฮไลท์ประจำปี หลังจากการเปิดตัวไปหมาดๆ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
โดย 407 เฟซลิฟท์ ใหม่นั้นมาพร้อมกับเครื่องรถยนต์ 2,000 ซีซี 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ถูกสร้างสรรค์มาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ทั้งสมรรถนะ และคุณภาพตามมาตรฐานยนตรกรรมฝรั่งเศส พร้อมการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกเพิ่มเพิ่มความสปอร์ตให้มากขึ้น ส่วนภายในลงตัวด้วยชุดหนังแท้ทั้งคัน และที่พิเศษสุดคือระบบนำทางผ่านดาวเทียมที่แม่นยำที่สุดในโลก (Built-in Navigator) ซึ่งคาดว่า เปอโยต์ 407 เฟซลิฟท์นี้ อาจสร้างตำนานได้อีกครั้ง ดังเช่นเปอโยต์ 406 ที่เคยได้รับความนิยมสูงสุดมาแล้ว ตลอดจนเปอโยต์ยังได้จัดแสดงรถยนต์อีก 3 รุ่น ทั้ง 206, 207 CC, เอ็กเพิร์ต พร้อมรุ่นพิเศษ 206 RC LINE และ 207 CC RC LINE
เปอ โยต์ 206 เป็นรถยนต์ ซิตี้คาร์ ขนาดเครื่องยนต์ 1,400 ซีซี 4 สูบ พร้อมระบบกันสะเทือนอิสระ 4 ล้อ ที่ผ่านการออกแบบให้ร่วมสมัย อีกทั้งภายในยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับซิตี้คาร์ธรรมดาคันอื่น เพราะแสดงถึงอารมณ์ ความคลาสสิค ตามสไตล์ รถยนต์ ยุโรป โดย เปอโยต์ 206 ยังคงมียอดการจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั่วโลก และเป็นอีกรุ่นหนึ่งของเปอโยต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดโลก และสำหรับกลุ่มคนที่ชอบความสปอร์ต อย่างเหนือชั้น ยังสามารถเลือก 206 RC LINE ที่ได้รับการตกแต่งรอบคันด้วยชุดแต่งระดับโลก RC LINE By Imsher ซึ่ง เปอโยต์ 206 นั้น เชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ของผู้ที่กำลังมองหาซิตี้คาร์มาตรฐานยุโรปในราคารถญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
ใน ส่วนของ 207 CC รถยนต์เปิดประทุนที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในประเทศไทย และหลายๆ ประเทศทั่วโลกนั้น คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้เปอโยต์ หยิบยกมานำแสดงให้คนไทยได้ซื่นชมอีกครั้ง กับความงดงามของยานยนต์ ที่ผสมผสานความสปอร์ตล้ำสมัยได้อย่างลงตัว โดย 207CC ถูกออกแบบมาพร้อมกับเครื่องยนต์ ขนาด 1,600 ซีซี 16 วาล์ว การยึดเกาะถนนเป็นเยี่ยมตามมาตรฐานเปอโยต์ ผนวกกับล้อแม็ค 17″ ตลอดจนแรงบิด ที่เพิ่มความเร็วสูงสุดได้ถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว ภายนอกถูกออกแบบมาอย่างมีสไตล์พร้อมระบบปิดเปิดประทุนอัจฉริยะ สมกับการเป็นผู้พัฒนารถยนต์เปิดประทุนแบบฮาร์ทท็อปอัตโนมัติรายแรกของโลก โดยเปอโยต์ ยังเอาใจแฟนๆ ผู้พิสมัยความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง RC LINE อีกด้วย
และ สุดท้ายกับ เปอโยต์ Expert รถยนต์อเนกประสงค์ 11 ที่นั่ง ที่กวาดรางวัลมาแล้วทั่วโลก สำหรับประเทศไทยแม้จะเปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมา แต่มีกำหนดขายจริงเมื่อต้นปี 2009 นี้เอง โดยเปอโยต์ เอ็กซ์เพิร์ตเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ 11 ที่นั่งขนาดใหญ่โมเดลแรกที่เลือกมาเจาะกลุ่มตลาดเมืองไทย หลังจากได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก เปอโยต์ เอ็กซ์เพิร์ต มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2,000 ซีซี 120 แรงม้า เกียร์ ธรรมดา 6 สปีช สุดยอดประหยัดน้ำมัน พร้อมความสบายระดับพรีเมี่ยมด้วยเบาะหนังแท้ที่มีระบบระบายอากาศ ให้ความรู้สึกมั่นคงตลอดการเดินทางกับ ROM หรือระบบควบคุมอาการโคลงของรถและระบบ DSC หรือระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ซึ่งล้วนสร้างจุดเด่นให้เปอโยต์ เอ็กซ์เพิร์ต เป็นทางเลือกของผู้มองหารถยนต์อเนกประสงค์ สำหรับครอบครัวได้เป็นอย่างดี
สำหรับ ในปีนี้ ไม่เพียงแต่การแสดงรถยนต์คุณภาพจากทวีปยุโรปที่มาพร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม เท่านั้น เปอโยต์ยังร่วมสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำเสนอมาตรฐาน บลูไลอ้อน (Blue Lion Environmental Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการผลิตรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม และใช้เป็นมาตรฐาน เหมือนกันใน ทุกศูนย์การผลิตทั่วโลก โดยรถยนต์เปอโยต์ทุกรุ่นและทุกคัน ทั้งที่กำลังผลิตอยู่ใน ปัจจุบันและที่จะ ผลิตต่อไปในอนาคต จะต้องดำเนินการตามมาตรฐานนี้ สำหรับรถยนต์เปอโยต์ที่ผ่านมาตรฐานนี้ และจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย และทั่วโลก จะต้องมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำกว่า หรือเท่ากับ 130 กรัมต่อกิโลเมตร
โดย ในปีนี้ ค่ายเปอโยต์ยังคงแนวความคิด รถยนต์ที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับว่า กำลังเดินอยู่บนแคทวอร์ค และถูกจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ ในคอนเซปต์ Peugeot Fashionate Your Life ที่ถูกนำเสนอผ่านเหล่าพริตตี้ที่แต่งตัวแปลกใหม่ ฉีกแนวจากค่ายรถยนต์อื่นๆ ที่เปอโยต์ใช้เป็นจุดขายเพื่อดึงดูด ให้ผู้เข้าชมงานได้แวะเวียนมาชื่นชม ในงานมอเตอร์โชว์2009
และ สุดพิเศษกับโปรโมชั่นประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟรีสำหรับลูกค้าทุกท่านที่จองในงาน โดยท่านสามารถสัมผัสยนตรกรรมทั้งหมดนี้ พร้อมกิจกรรมมากมาย ได้ที่บูทเปอโยต์ ในงาน มอเตอร์โชว์ 2009 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2009 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-203-9796 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือ www.peugeot–th.com ครับ
ราคารถยนต์เปอโยต์รุ่นต่างๆ ภายในงานมอเตอร์โชว์ 2009- เปอโยต์ รุ่น 206 • ราคา 795,000 บาท- เปอโยต์ รุ่น 206 RC Line • ราคา 895,000 บาท- เปอโยต์ รุ่น 207 CC • ราคา 2,250,000 บาท- เปอโยต์ รุ่น 207 CC RC Line • ราคา 2,330,000 บาท (โปรโมชั่นเฉพาะงานมอเตอร์โชว์ 2009)- เปอโยต์ EXPERT • ราคา 1,950,000 บาท- เปอโยต์ รุ่น 407 Facelift • ราคา 1,990,000 บาท
ที่มา: Peugeot/นิตยสาร Thaidriver
29.4.09
28.4.09
เปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ
บางกอกมอเตอร์โชว์ 2009: เปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆอีกเพียบ
by Eddie on March 19, 2009
ลดแหลกแจกแถมกันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง Chevrolet เตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าที่จะไปชมงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2009 ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้งการเอารถเก่ามาเทิร์น เพิ่มราคาให้อีก 2 หมื่นถ้าซื้อ Optra CNG หรือ Estate CNG ในงานนี้ยังมีการเปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ รุ่นใหม่ล่าสุด ตามที่เอารูปมาให้ชมด้านบน ซึ่งตอนนี้มีแค่ 1 ภาพนะครับ แต่สามารถดูได้ชัดๆใน gallery
ใครเล็งๆไว้ก็ลองอ่านโปรโมชั่นดูว่าโอหรือไม่อย่างไร ให้มั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อรถใหม่ในภาวะเศรษฐกิจถอถอยลงคลองแสนแสบแบบนี้
เชฟโรเลต ไม่หวั่นเศรษฐกิจผันผวน อัดแคมเปญพิเศษกระตุ้นยอดขายในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ชูโปรโมชั่น เก่ามา ใหม่ไป เปิดรับแลกรถใช้แล้วทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมให้ราคาเพิ่มถึง 20,000 บาท เพื่อซื้อ ออพตร้า CNG หรือเอสเตท CNG อีกทั้งเปิดตัวแคปติวา LTZ รุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยการตกแต่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมนำเสนอเงื่อนไขเฉพาะงานนี้ “ช่วยกันดาวน์” ถอยรถ โคโลราโดและอาวีโอ แบบสบายกระเป๋า ดาวน์เริ่มต้นเพียง 10% โดยเชฟโรเลตช่วยดาวน์ครึ่งหนึ่ง
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ศกนี้ โดย มร.อันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย กล่าวว่า ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เชฟโรเลต เตรียมขนทัพรถมาจัดแสดงอย่างเต็มที่ครบทุกรุ่น ทั้ง เชฟโรเลต แคปติวา เชฟโรเลต ออพตร้า ซีดานและเอสเตท CNG เชฟโรเลต โคโลราโด และเชฟโรเลต อาวีโอ “ผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับยานยนต์ของเชฟโรเลตทุกรุ่นอย่างใกล้ชิด ทั้งการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก และภายในห้องโดยสาร พร้อมมีแคมเปญและข้อเสนอพิเศษที่เน้นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร รวมถึงการตกแต่งเสริมความโดดเด่นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ถือเป็นงานโชว์นวัตกรรมยานยนต์ที่ผู้สนใจ ทั้งในด้านเทคโนโลยี หรือต้องการจับจองรถสักคัน ไม่ควรพลาดชมอย่างแท้จริง” มร.อันโตนิโอ ซาร่า กล่าว
หนึ่งในไฮไลต์ในงานครั้งนี้ คือการเปิดตัว เชฟโรเลต แคปติวา LTZ โมเดลปี 2552 เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน บนคอนโซลมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทาง Navigator System เบาะหนังเจาะรูสีเบจสุดหรู ล้ออัลลอย 18 นิ้วพร้อมยางสปอร์ตจากดันลอป และแผงกระจังหน้าโครเมียม ดูสวยงามแฝงความดุดัน
สำหรับแคมเปญของเชฟโรเลตในงานนี้ เริ่มที่ เก่ามา ใหม่ไป เปิดรับรถใช้แล้วทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ในราคาสูงกว่าราคากลาง หรือ Red Book สูงสุดถึง 20,000 บาท เพื่อซื้อเชฟโรเลต ออพตร้า ซีดาน หรือเอสเตท CNG พ่วงเงื่อนไขสบายกระเป๋า ดาวน์เริ่มต้นเพียง 15% ผ่อนดอกเบี้ย 0% 36 เดือน หรือ ดาวน์ 25% ผ่อนดอกเบี้ย 0% 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี
ขณะที่เชฟโรเลต อาวีโอ มีโปรโมชั่นพิเศษสุด ช่วยกันดาวน์ ดาวน์เริ่มต้นเพียง 15% ลูกค้าดาวน์เพียง 10% เชฟโรเลตช่วยดาวน์ 5% พร้อมฟรีชุดแต่งสปอร์ตมูลค่ากว่า 3 หมื่นบาท ประกอบด้วย ชุดตกแต่งสเกิร์ตกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตกันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง เพิ่มความโฉบเฉี่ยวเติมเต็มความสปอร์ต นอกจากนี้ โปรโมชั่น ช่วยกันดาวน์ ยังครอบคลุมสำหรับเชฟโรเลต โคโลราโดด้วย โดยดาวน์เริ่มต้นเพียง 20% ลูกค้าดาวน์เพียง 10% เชฟโรเลตช่วยดาวน์อีก 10%
สำหรับรถเอนกประสงค์สุดหรู เชฟโรเลต แคปติวา ก็มีข้อเสนอพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะเช่นกัน ด้วยชุดตกแต่งพิเศษ แคปติวา Expression สร้างความประทับใจกว่าเดิม ด้วยอุปกรณ์พิเศษ 6 รายการ ทั้ง ชุดกระจังหน้าโครเมี่ยม ฝาครอบไฟตัดหมอกโครเมี่ยม บันไดข้าง ไฟท้ายใส ล้ออัลลอย 18 นิ้ว 5 ก้าน พร้อมยาง ปิดท้ายด้วยโลโก้ Expression มูลค่ารวม 87,973 บาท ในราคาพิเศษเพียง 69,900 บาท
สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
ที่มา: Chevrolet/Thaidriver
by Eddie on March 19, 2009
ลดแหลกแจกแถมกันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง Chevrolet เตรียมโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้าที่จะไปชมงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2009 ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้งการเอารถเก่ามาเทิร์น เพิ่มราคาให้อีก 2 หมื่นถ้าซื้อ Optra CNG หรือ Estate CNG ในงานนี้ยังมีการเปิดตัว Chevrolet Captiva LTZ รุ่นใหม่ล่าสุด ตามที่เอารูปมาให้ชมด้านบน ซึ่งตอนนี้มีแค่ 1 ภาพนะครับ แต่สามารถดูได้ชัดๆใน gallery
ใครเล็งๆไว้ก็ลองอ่านโปรโมชั่นดูว่าโอหรือไม่อย่างไร ให้มั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อรถใหม่ในภาวะเศรษฐกิจถอถอยลงคลองแสนแสบแบบนี้
เชฟโรเลต ไม่หวั่นเศรษฐกิจผันผวน อัดแคมเปญพิเศษกระตุ้นยอดขายในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ชูโปรโมชั่น เก่ามา ใหม่ไป เปิดรับแลกรถใช้แล้วทุกรุ่นทุกยี่ห้อ พร้อมให้ราคาเพิ่มถึง 20,000 บาท เพื่อซื้อ ออพตร้า CNG หรือเอสเตท CNG อีกทั้งเปิดตัวแคปติวา LTZ รุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยการตกแต่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมนำเสนอเงื่อนไขเฉพาะงานนี้ “ช่วยกันดาวน์” ถอยรถ โคโลราโดและอาวีโอ แบบสบายกระเป๋า ดาวน์เริ่มต้นเพียง 10% โดยเชฟโรเลตช่วยดาวน์ครึ่งหนึ่ง
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ศกนี้ โดย มร.อันโตนิโอ ซาร่า รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขาย กล่าวว่า ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เชฟโรเลต เตรียมขนทัพรถมาจัดแสดงอย่างเต็มที่ครบทุกรุ่น ทั้ง เชฟโรเลต แคปติวา เชฟโรเลต ออพตร้า ซีดานและเอสเตท CNG เชฟโรเลต โคโลราโด และเชฟโรเลต อาวีโอ “ผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับยานยนต์ของเชฟโรเลตทุกรุ่นอย่างใกล้ชิด ทั้งการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก และภายในห้องโดยสาร พร้อมมีแคมเปญและข้อเสนอพิเศษที่เน้นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร รวมถึงการตกแต่งเสริมความโดดเด่นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ถือเป็นงานโชว์นวัตกรรมยานยนต์ที่ผู้สนใจ ทั้งในด้านเทคโนโลยี หรือต้องการจับจองรถสักคัน ไม่ควรพลาดชมอย่างแท้จริง” มร.อันโตนิโอ ซาร่า กล่าว
หนึ่งในไฮไลต์ในงานครั้งนี้ คือการเปิดตัว เชฟโรเลต แคปติวา LTZ โมเดลปี 2552 เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน บนคอนโซลมีหน้าจอขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทาง Navigator System เบาะหนังเจาะรูสีเบจสุดหรู ล้ออัลลอย 18 นิ้วพร้อมยางสปอร์ตจากดันลอป และแผงกระจังหน้าโครเมียม ดูสวยงามแฝงความดุดัน
สำหรับแคมเปญของเชฟโรเลตในงานนี้ เริ่มที่ เก่ามา ใหม่ไป เปิดรับรถใช้แล้วทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ในราคาสูงกว่าราคากลาง หรือ Red Book สูงสุดถึง 20,000 บาท เพื่อซื้อเชฟโรเลต ออพตร้า ซีดาน หรือเอสเตท CNG พ่วงเงื่อนไขสบายกระเป๋า ดาวน์เริ่มต้นเพียง 15% ผ่อนดอกเบี้ย 0% 36 เดือน หรือ ดาวน์ 25% ผ่อนดอกเบี้ย 0% 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี
ขณะที่เชฟโรเลต อาวีโอ มีโปรโมชั่นพิเศษสุด ช่วยกันดาวน์ ดาวน์เริ่มต้นเพียง 15% ลูกค้าดาวน์เพียง 10% เชฟโรเลตช่วยดาวน์ 5% พร้อมฟรีชุดแต่งสปอร์ตมูลค่ากว่า 3 หมื่นบาท ประกอบด้วย ชุดตกแต่งสเกิร์ตกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตกันชนหลัง และสปอยเลอร์หลัง เพิ่มความโฉบเฉี่ยวเติมเต็มความสปอร์ต นอกจากนี้ โปรโมชั่น ช่วยกันดาวน์ ยังครอบคลุมสำหรับเชฟโรเลต โคโลราโดด้วย โดยดาวน์เริ่มต้นเพียง 20% ลูกค้าดาวน์เพียง 10% เชฟโรเลตช่วยดาวน์อีก 10%
สำหรับรถเอนกประสงค์สุดหรู เชฟโรเลต แคปติวา ก็มีข้อเสนอพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะเช่นกัน ด้วยชุดตกแต่งพิเศษ แคปติวา Expression สร้างความประทับใจกว่าเดิม ด้วยอุปกรณ์พิเศษ 6 รายการ ทั้ง ชุดกระจังหน้าโครเมี่ยม ฝาครอบไฟตัดหมอกโครเมี่ยม บันไดข้าง ไฟท้ายใส ล้ออัลลอย 18 นิ้ว 5 ก้าน พร้อมยาง ปิดท้ายด้วยโลโก้ Expression มูลค่ารวม 87,973 บาท ในราคาพิเศษเพียง 69,900 บาท
สำหรับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
ที่มา: Chevrolet/Thaidriver
27.4.09
Tata Nano เตรียมคลอด! ได้ฤกษ์ผลิตมีนาคม เริ่มขายเมษายนนี้
Tata Nano เตรียมคลอด! ได้ฤกษ์ผลิตมีนาคม เริ่มขายเมษายนนี้
by Eddie on March 2, 2009
หลังจากผ่านอุปสรรคในหลายๆเรื่อง Tata Motors ก็ได้ฤกษ์ผลิต Tata Nano รถเล็กที่ราคา(จะ)ถูกที่สุดในโลกเสียที โดยกำหนดการคือ วันที่ 23 มีนาคมที่จะถึงนี้ โดยจะทำการผลิตที่โรงงานในเมือง Gurajat และเริ่มทำการจำหน่ายผ่านตัวแทนในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนหรือก่อนสงกรานต์บ้านเรา
ราคาขายคิดว่าจะอยู่ที่ 100,000 รูปี หรือประมาณ 70,700 บาท (สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้) หรือราคาพอๆกับรถมอเตอร์ไซค์ดีๆ 2 คัน ทำให้ Tana Nano จะกลายเป็นรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุดในโลก แต่เดี๋ยวก่อน! ราคาที่ว่ายังไม่รวมแอร์หรือสีเคลือบกันชน และไม่รู้ว่านำเข้ามาเมืองไทยแล้วจะเสียภาษีและอื่นๆรวมเบ็ดเสร็จเท่าไหร่ แต่คิดว่า Tata Motors คงจะทำราคาให้ดีที่สุดเพราะไหนๆก็ลงหลักปักฐานในไทยไปแล้วหนิ
Tata Nano ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 623 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังที่ 33 แรงม้า
ขอให้ราคาประมาณนี้เถอะ จะรีบซื้อเลย 1 คัน เอาไปขับโชว์วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย
ที่มา: Tata Motors
by Eddie on March 2, 2009
หลังจากผ่านอุปสรรคในหลายๆเรื่อง Tata Motors ก็ได้ฤกษ์ผลิต Tata Nano รถเล็กที่ราคา(จะ)ถูกที่สุดในโลกเสียที โดยกำหนดการคือ วันที่ 23 มีนาคมที่จะถึงนี้ โดยจะทำการผลิตที่โรงงานในเมือง Gurajat และเริ่มทำการจำหน่ายผ่านตัวแทนในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนหรือก่อนสงกรานต์บ้านเรา
ราคาขายคิดว่าจะอยู่ที่ 100,000 รูปี หรือประมาณ 70,700 บาท (สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้) หรือราคาพอๆกับรถมอเตอร์ไซค์ดีๆ 2 คัน ทำให้ Tana Nano จะกลายเป็นรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุดในโลก แต่เดี๋ยวก่อน! ราคาที่ว่ายังไม่รวมแอร์หรือสีเคลือบกันชน และไม่รู้ว่านำเข้ามาเมืองไทยแล้วจะเสียภาษีและอื่นๆรวมเบ็ดเสร็จเท่าไหร่ แต่คิดว่า Tata Motors คงจะทำราคาให้ดีที่สุดเพราะไหนๆก็ลงหลักปักฐานในไทยไปแล้วหนิ
Tata Nano ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 623 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังที่ 33 แรงม้า
ขอให้ราคาประมาณนี้เถอะ จะรีบซื้อเลย 1 คัน เอาไปขับโชว์วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย
ที่มา: Tata Motors
25.4.09
2009 Toyota Yaris แต่งหน้าใหม่ เปิดตัวที่ Bologna Motor Show
2009 Toyota Yaris แต่งหน้าใหม่ เปิดตัวที่ Bologna Motor Show
by Eddie on December 9, 2008
Toyota Yaris ไมเนอร์เชนจ์ได้เปิดตัวที่งาน Bologna Motor Show ก่อนที่จะเริ่มมีจำหน่ายในยุโรปที่กำหนดไว้ในต้นปีหน้า โดยโฉมใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในส่วนด้านหน้าตรงกระจังหน้าที่แคบลง กันชนหลัง นอกจากนั้นยังมีไฟหน้าและหลังที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนภายในมีการตกแต่งด้วยเบาะหนังพร้อมลวดลายใหม่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การใช้เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดแบบ 4 สูบ Dual VVT-i ความจุ 1.33 ลิตร ซึ่งเริ่มมีใช้ในรุ่น Auris มาก่อน
เครื่องยนต์ใหม่นี้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ มีการประหยัดน้ำมันที่มากกว่า มีกำลังและแรงบิดที่สูงกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่มีขนาด 1.4 ลิตร เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.33 ลิตรนี้ ให้กำลังที่ 101 แรงม้า แรงบิดที่ 132 นิวตัน-เมตร ชุดเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมี option เป็นระบบเกียร์ MMT กึ่งอัตโนมัติ Toyota อ้างว่าเวอร์ชั่นเกียร์ธรรมดามีอัตราการใช้น้ำมันเฉลี่ยที่ 5.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (46.1 ไมล์/แกลลอน)
นอกจากนั้นแล้ว โตโยต้ายาริสใหม่นี้ยังมีการใช้เทคโนโลยี Stop & Start เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกลไกของเกียร์สตาร์ทแบบถาวรซึ่งหมายความว่า มอเตอร์สตาร์ทจะมีการสัมผัสโดยตรงกับเกียร์วงแหวนในเครื่องยนต์ ผลดีที่เกิดขึ้นก็คือ เครื่องยนต์สามารถเดินเครื่องและหยุดได้เร็วขึ้น และมีเสียงดังน้อยลง
ที่มา : Toyota
by Eddie on December 9, 2008
Toyota Yaris ไมเนอร์เชนจ์ได้เปิดตัวที่งาน Bologna Motor Show ก่อนที่จะเริ่มมีจำหน่ายในยุโรปที่กำหนดไว้ในต้นปีหน้า โดยโฉมใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในส่วนด้านหน้าตรงกระจังหน้าที่แคบลง กันชนหลัง นอกจากนั้นยังมีไฟหน้าและหลังที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนภายในมีการตกแต่งด้วยเบาะหนังพร้อมลวดลายใหม่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การใช้เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดแบบ 4 สูบ Dual VVT-i ความจุ 1.33 ลิตร ซึ่งเริ่มมีใช้ในรุ่น Auris มาก่อน
เครื่องยนต์ใหม่นี้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ มีการประหยัดน้ำมันที่มากกว่า มีกำลังและแรงบิดที่สูงกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่มีขนาด 1.4 ลิตร เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.33 ลิตรนี้ ให้กำลังที่ 101 แรงม้า แรงบิดที่ 132 นิวตัน-เมตร ชุดเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมี option เป็นระบบเกียร์ MMT กึ่งอัตโนมัติ Toyota อ้างว่าเวอร์ชั่นเกียร์ธรรมดามีอัตราการใช้น้ำมันเฉลี่ยที่ 5.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (46.1 ไมล์/แกลลอน)
นอกจากนั้นแล้ว โตโยต้ายาริสใหม่นี้ยังมีการใช้เทคโนโลยี Stop & Start เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกลไกของเกียร์สตาร์ทแบบถาวรซึ่งหมายความว่า มอเตอร์สตาร์ทจะมีการสัมผัสโดยตรงกับเกียร์วงแหวนในเครื่องยนต์ ผลดีที่เกิดขึ้นก็คือ เครื่องยนต์สามารถเดินเครื่องและหยุดได้เร็วขึ้น และมีเสียงดังน้อยลง
ที่มา : Toyota
24.4.09
มาสด้า 3 ใหม่ มินิไมเนอร์เชนจ์ 2009
มาสด้า 3 ใหม่ มินิไมเนอร์เชนจ์ 2009
by Eddie on October 25, 2008
หลังจากปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปีก่อน มาคราวนี้มาสด้า ประเทศไทย ขอกระตุ้นตลาดให้กับซีดานตัวขายอย่าง “3” อีกครั้ง ด้วยการปรับแบบ “มินิ ไมเนอร์เชนจ์” ก่อนที่จะโฉมโมเดลเชนจ์จะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดโลกปี 2010 ตามการประกาศล่าสุดของทาง มาสด้า มอเตอร์ ที่ญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคชาวไทยที่สนใจ “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” มีเวลาขับเฉิดฉายมากกว่า 1 ปี โดยไม่ตกรุ่นอย่างแน่นอน
สำหรับการปรับโฉมครั้งนี้ ด้านหน้ามิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด มีเพียงด้านท้ายเปลี่ยน กันชนหลัง ทรงสปอร์ตที่ถอดแบบมาจากรุ่น MPS พร้อมกับเปลี่ยนไฟท้ายหันมาใช้แบบ LED และเสริมความสะดวกด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Key Card เปิด-ปิดรถอัตโนมัติ-สตาร์ทรถเพียงบิดปุ่ม เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเท่านั้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ขุมพลัง MZR 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว มีให้เลือกขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และ 2.0 ลิตรให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 และระบบคันเร่ง Drive-By-Wire ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดและธรรมดา 5 สปีด
ซึ่งมาสด้าเชิญ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เข้าร่วมทดสอบ แม้ก่อนที่เราจะตอบรับเข้าร่วมเดินทาง เรามีคำถามในใจอยู่ก่อนแล้วว่า “เปลี่ยนแค่อุปกรณ์ภายนอกแล้วจะให้ไปขับทำไม ผลมันคงไม่ต่างจากเดิมหรอก” แต่เราก็ตอบรับคำเชิญด้วยเหตุผล “เผื่อว่ามันจะมีอะไร”
ก่อนออกเดินทาง ทีมงานมาสด้าบรรยายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจ้า 3 มินิไมเนอร์เชนจ์ และเปิดโอกาสให้สอบถามข้อสงสัย ซึ่งทีมงานมาสด้าบอกว่า นอกจากการเปลี่ยนภายนอกดังกล่าวแล้ว ภายในตัวถังยังเพิ่มการบุผนังด้านท้ายรถเสริมเข้าไปอีกเพื่อช่วยป้องกันเสียงดังจากภายนอกเข้ามารบกวนอีกหนึ่งรายการ
ส่วนเส้นทางจะเริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงกุยบุรี(ประจวบคีรีขันธ์) ระยะทางกว่า 300 กม. โดย รถหนึ่งคันต่อสื่อมวลชน 4 ท่าน ขาไปเราได้รถตัว 1.6 ลิตรแบบ 5 ประตู ช่วงแรกเราประจำการเป็นผู้โดยสารตอนหน้า ความรู้สึกคือ เหมือนเดิมไม่แตกต่างหลังจากนั่งมากว่า 100 กม. และจากคำบอกเล่าของสื่อมวลชนที่นั่งตอนหลัง รู้สึกว่าเสียงลมเงียบขึ้นกว่าเดิม แต่เสียงยางดังขึ้น และที่สำคัญคือ นั่งนุ่มกว่าเดิม
ด้านคนขับก็บอกว่า เหมือนรถนุ่มกว่าเดิม ท้ายมีการให้ตัวมากกว่า ไม่นิ่งเท่าตัวก่อนหน้าเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเจอโค้งเจอเนินอาการยิ่งชัด ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดคุยกันกับสื่อมวลชนหลายท่านและความเห็นก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องไปหาคำตอบจากทีมงานมาสด้า
ซึ่งก่อนออกเดินทางเราถามย้ำแล้วว่า มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือปรับช่วงล่างบ้างไหมคำตอบคือ “ไม่มีการปรับใดๆ ทั้งสิ้น” ฉะนั้นแล้วความรู้สึกที่ว่านุ่มขึ้นมันมาจากไหน คำตอบของทีมงานมาสด้าออกมาที่ “ยาง” เนื่องจากเจ้า 3 ตัวนี้มีการเปลี่ยนซัพพลายเออร์ยางจากบริดสโตนมาเป็น กู๊ดเยียร์ (ยางผลิตในฟิลิปินส์) และทีมงานยอมรับว่า เนื้อยางนุ่มกว่าและให้ตัวมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นอันว่า กระจ่างครับว่าความรู้สึกที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมทั้งที่ช่วงล่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั้นมาจากการเปลี่ยนยาง
window.google_render_ad();
ขากลับ เราขับตัว 2.0 ลิตร ความรู้สึกการขับเจ้า 3 ยังคงให้ความสนุกในการขับเหมือนเดิม คันเร่งคิกดาวน์ติดง่าย การเก็บเสียงลมทำได้ดี เริ่มได้ยินเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. ส่วนเรื่องการใช้งานของกุญแจแบบใหม่ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกดี สามารถพกกุญแจไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องควักออกมา ก็ขับรถออกไปได้
สรุป ปรับแล้วหล่อขึ้นบวกกับอุปกรณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมาเทียบราคาที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คุ้มค่าแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่เป็นคนพันธ์ “ซูม ซูม” มองหาซีดานสักคัน “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
by Eddie on October 25, 2008
หลังจากปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปีก่อน มาคราวนี้มาสด้า ประเทศไทย ขอกระตุ้นตลาดให้กับซีดานตัวขายอย่าง “3” อีกครั้ง ด้วยการปรับแบบ “มินิ ไมเนอร์เชนจ์” ก่อนที่จะโฉมโมเดลเชนจ์จะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดโลกปี 2010 ตามการประกาศล่าสุดของทาง มาสด้า มอเตอร์ ที่ญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคชาวไทยที่สนใจ “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” มีเวลาขับเฉิดฉายมากกว่า 1 ปี โดยไม่ตกรุ่นอย่างแน่นอน
สำหรับการปรับโฉมครั้งนี้ ด้านหน้ามิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด มีเพียงด้านท้ายเปลี่ยน กันชนหลัง ทรงสปอร์ตที่ถอดแบบมาจากรุ่น MPS พร้อมกับเปลี่ยนไฟท้ายหันมาใช้แบบ LED และเสริมความสะดวกด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Key Card เปิด-ปิดรถอัตโนมัติ-สตาร์ทรถเพียงบิดปุ่ม เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเท่านั้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ขุมพลัง MZR 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว มีให้เลือกขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และ 2.0 ลิตรให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 และระบบคันเร่ง Drive-By-Wire ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดและธรรมดา 5 สปีด
ซึ่งมาสด้าเชิญ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เข้าร่วมทดสอบ แม้ก่อนที่เราจะตอบรับเข้าร่วมเดินทาง เรามีคำถามในใจอยู่ก่อนแล้วว่า “เปลี่ยนแค่อุปกรณ์ภายนอกแล้วจะให้ไปขับทำไม ผลมันคงไม่ต่างจากเดิมหรอก” แต่เราก็ตอบรับคำเชิญด้วยเหตุผล “เผื่อว่ามันจะมีอะไร”
ก่อนออกเดินทาง ทีมงานมาสด้าบรรยายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจ้า 3 มินิไมเนอร์เชนจ์ และเปิดโอกาสให้สอบถามข้อสงสัย ซึ่งทีมงานมาสด้าบอกว่า นอกจากการเปลี่ยนภายนอกดังกล่าวแล้ว ภายในตัวถังยังเพิ่มการบุผนังด้านท้ายรถเสริมเข้าไปอีกเพื่อช่วยป้องกันเสียงดังจากภายนอกเข้ามารบกวนอีกหนึ่งรายการ
ส่วนเส้นทางจะเริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงกุยบุรี(ประจวบคีรีขันธ์) ระยะทางกว่า 300 กม. โดย รถหนึ่งคันต่อสื่อมวลชน 4 ท่าน ขาไปเราได้รถตัว 1.6 ลิตรแบบ 5 ประตู ช่วงแรกเราประจำการเป็นผู้โดยสารตอนหน้า ความรู้สึกคือ เหมือนเดิมไม่แตกต่างหลังจากนั่งมากว่า 100 กม. และจากคำบอกเล่าของสื่อมวลชนที่นั่งตอนหลัง รู้สึกว่าเสียงลมเงียบขึ้นกว่าเดิม แต่เสียงยางดังขึ้น และที่สำคัญคือ นั่งนุ่มกว่าเดิม
ด้านคนขับก็บอกว่า เหมือนรถนุ่มกว่าเดิม ท้ายมีการให้ตัวมากกว่า ไม่นิ่งเท่าตัวก่อนหน้าเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเจอโค้งเจอเนินอาการยิ่งชัด ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดคุยกันกับสื่อมวลชนหลายท่านและความเห็นก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องไปหาคำตอบจากทีมงานมาสด้า
ซึ่งก่อนออกเดินทางเราถามย้ำแล้วว่า มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือปรับช่วงล่างบ้างไหมคำตอบคือ “ไม่มีการปรับใดๆ ทั้งสิ้น” ฉะนั้นแล้วความรู้สึกที่ว่านุ่มขึ้นมันมาจากไหน คำตอบของทีมงานมาสด้าออกมาที่ “ยาง” เนื่องจากเจ้า 3 ตัวนี้มีการเปลี่ยนซัพพลายเออร์ยางจากบริดสโตนมาเป็น กู๊ดเยียร์ (ยางผลิตในฟิลิปินส์) และทีมงานยอมรับว่า เนื้อยางนุ่มกว่าและให้ตัวมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นอันว่า กระจ่างครับว่าความรู้สึกที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมทั้งที่ช่วงล่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั้นมาจากการเปลี่ยนยาง
window.google_render_ad();
ขากลับ เราขับตัว 2.0 ลิตร ความรู้สึกการขับเจ้า 3 ยังคงให้ความสนุกในการขับเหมือนเดิม คันเร่งคิกดาวน์ติดง่าย การเก็บเสียงลมทำได้ดี เริ่มได้ยินเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. ส่วนเรื่องการใช้งานของกุญแจแบบใหม่ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกดี สามารถพกกุญแจไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องควักออกมา ก็ขับรถออกไปได้
สรุป ปรับแล้วหล่อขึ้นบวกกับอุปกรณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมาเทียบราคาที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คุ้มค่าแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่เป็นคนพันธ์ “ซูม ซูม” มองหาซีดานสักคัน “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
23.4.09
Toyota Vios GT Street รถสไตล์สปอร์ตใหม่ เปิดตัวที่ 5.79 แสนบาท
Toyota Vios GT Street รถสไตล์สปอร์ตใหม่ เปิดตัวที่ 5.79 แสนบาท เพียง 1,000 คันเท่านั้น
by Eddie on March 3, 2009
Toyota ประเทศไทย กระตุ้นตลาดรถเล็กส่ง Toyota Vios GT Street เจาะกลุ่มคนรักความเร็ว ในราคา 579,000 บาท เตรียมผลิตออกมาขายเพียง 1,000 คันเท่านั้น
Vios GT Street ใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-i 1497 ซีซี แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (80 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
อ่านรายละเอียดได้จากข่าวด้านล่าง โดย Toyota และนิตยสาร Thaidriver ครับ
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงการแนะนำ รถยนต์นั่งขนาดเล็กยอดนิยม รุ่นพิเศษ VIOS GT Street สปอร์ตเข้ม เต็มคัน โดยโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้แนะนำรถยนต์ โตโยต้า วีออส ใหม่ เข้าสู่ตลาดเมืองไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 ภายใต้แนวคิดที่รวบรวมคุณสมบัติของความคุ้มค่านั่นคือ ดีไซน์ที่ก้าวล้ำ ความประหยัดน้ำมัน การขับขี่ที่คล่องแคล่ว ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ความปลอดภัยเหนือระดับและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้ วีออส เป็นรถซีดานขนาดเล็กใหม่ล่าสุด ที่ก้าวล้ำเหนือชั้นกว่ารถระดับเดียวกัน โดยมียอดขายสะสมตั้งแต่เปิดตัวจำนวน 90,723 คัน
นายวุฒิกร กล่าวว่า “VIOS GT Street นั้นสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์แนวสปอร์ต โดยมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ให้ดูโฉบเฉี่ยว อาทิ สเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบ สแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต ส่วนภายในใช้โทนสีแดงดำที่ให้ความรู้สึกเร้าใจ ทั้งผ้าเบาะ สีแดงกับสีดำ รวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง และคอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง โดยจะทำการผลิตเพียง 1,000 คันเท่านั้น” ขับเคลื่อนคล่องตัว แม้ในที่แคบ ด้วยรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.9 เมตร…ให้ความคล่องตัวสูงสุดด้วยระบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ที่ช่วยให้พวงมาลัยเบา ขับขี่คล่องตัวในความเร็วต่ำและค่อยๆหนักขึ้นตามความเร็วของรถ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ที่ความเร็วสูง
ระบบความปลอดภัยแบบป้องกัน (Active Safety) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกให้เหมาะสมทั้ง 4 ล้อ EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกเมื่อเบรกอย่างกระทันหัน BA (Brake Assist) ช่วยให้ การเบรกมีประสิทธิภาพเต็มร้อย
ชุดแต่งพิเศษเฉพาะ VIOS GT Street version
สเกิร์ตรอบคันโฉบเฉี่ยวทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง และสปอยเลอร์ท้าย ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ ฝาครอบท่อไอเสียสแตนเลส สัญลักษณ์ “GT Street Version” บริเวณฝากระโปรงท้ายด้านขวา สติ๊กเกอร์ “GT Street Version” บริเวณด้านข้าง
ภายใน พวงมาลัยและหัวเกียร์ หุ้มหนังพร้อมเย็บด้วยด้ายสีแดง แผงคอนโซลกลางสีแดง – ดำ เบาะผ้าสีเทาเข้ม-แดง สปอร์ตเข้มเต็มคันกับ 2 สี อารมณ์สปอร์ต สีขาว และ สีดำ
สมรรถนะเครื่องยนต์มั่นใจเต็มเปี่ยม
เครื่องยนต์ 1NZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-i 1497 ซีซี แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (80 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
VIOS GT Street version ราคา 579,000 บาท (ราคารวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม) สัมผัสอารมณ์สปอร์ตเข้ม เต็มคัน วันนี้ที่ผู้แทนจำหน่าย โตโยต้า 120 แห่ง 306 โชว์รูมทั่วประเทศ
ที่มา: Toyota/นิตยสาร Thaidriver
by Eddie on March 3, 2009
Toyota ประเทศไทย กระตุ้นตลาดรถเล็กส่ง Toyota Vios GT Street เจาะกลุ่มคนรักความเร็ว ในราคา 579,000 บาท เตรียมผลิตออกมาขายเพียง 1,000 คันเท่านั้น
Vios GT Street ใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-i 1497 ซีซี แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (80 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
อ่านรายละเอียดได้จากข่าวด้านล่าง โดย Toyota และนิตยสาร Thaidriver ครับ
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงการแนะนำ รถยนต์นั่งขนาดเล็กยอดนิยม รุ่นพิเศษ VIOS GT Street สปอร์ตเข้ม เต็มคัน โดยโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้แนะนำรถยนต์ โตโยต้า วีออส ใหม่ เข้าสู่ตลาดเมืองไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 ภายใต้แนวคิดที่รวบรวมคุณสมบัติของความคุ้มค่านั่นคือ ดีไซน์ที่ก้าวล้ำ ความประหยัดน้ำมัน การขับขี่ที่คล่องแคล่ว ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ความปลอดภัยเหนือระดับและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้ วีออส เป็นรถซีดานขนาดเล็กใหม่ล่าสุด ที่ก้าวล้ำเหนือชั้นกว่ารถระดับเดียวกัน โดยมียอดขายสะสมตั้งแต่เปิดตัวจำนวน 90,723 คัน
นายวุฒิกร กล่าวว่า “VIOS GT Street นั้นสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์แนวสปอร์ต โดยมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ให้ดูโฉบเฉี่ยว อาทิ สเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบ สแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต ส่วนภายในใช้โทนสีแดงดำที่ให้ความรู้สึกเร้าใจ ทั้งผ้าเบาะ สีแดงกับสีดำ รวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง และคอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง โดยจะทำการผลิตเพียง 1,000 คันเท่านั้น” ขับเคลื่อนคล่องตัว แม้ในที่แคบ ด้วยรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.9 เมตร…ให้ความคล่องตัวสูงสุดด้วยระบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS ที่ช่วยให้พวงมาลัยเบา ขับขี่คล่องตัวในความเร็วต่ำและค่อยๆหนักขึ้นตามความเร็วของรถ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ที่ความเร็วสูง
ระบบความปลอดภัยแบบป้องกัน (Active Safety) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกให้เหมาะสมทั้ง 4 ล้อ EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกเมื่อเบรกอย่างกระทันหัน BA (Brake Assist) ช่วยให้ การเบรกมีประสิทธิภาพเต็มร้อย
ชุดแต่งพิเศษเฉพาะ VIOS GT Street version
สเกิร์ตรอบคันโฉบเฉี่ยวทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง และสปอยเลอร์ท้าย ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ ฝาครอบท่อไอเสียสแตนเลส สัญลักษณ์ “GT Street Version” บริเวณฝากระโปรงท้ายด้านขวา สติ๊กเกอร์ “GT Street Version” บริเวณด้านข้าง
ภายใน พวงมาลัยและหัวเกียร์ หุ้มหนังพร้อมเย็บด้วยด้ายสีแดง แผงคอนโซลกลางสีแดง – ดำ เบาะผ้าสีเทาเข้ม-แดง สปอร์ตเข้มเต็มคันกับ 2 สี อารมณ์สปอร์ต สีขาว และ สีดำ
สมรรถนะเครื่องยนต์มั่นใจเต็มเปี่ยม
เครื่องยนต์ 1NZ-FE DOHC 16 วาล์ว VVT-i 1497 ซีซี แรงม้าสูงสุด 109 แรงม้า (80 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที
VIOS GT Street version ราคา 579,000 บาท (ราคารวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม) สัมผัสอารมณ์สปอร์ตเข้ม เต็มคัน วันนี้ที่ผู้แทนจำหน่าย โตโยต้า 120 แห่ง 306 โชว์รูมทั่วประเทศ
ที่มา: Toyota/นิตยสาร Thaidriver
7.4.09
รู้เรื่องรถกัน
รู้เรื่องรถกันหน่อยดีกว่า
ทุกวันนี้น้ำมันขึ้นราคากันเป็นว่าเล่น แต่การจราจรก็ยังคงติดขัดอยู่เช่นเดิม สาวๆ ทำงานอย่างเราก็มีที่ต้องขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเอง พอรถเกิดอาการงอแงขึ้นมาก็คงตกใจทำอะไรกันไม่ค่อยจะถูกใช่ไหม มาอ่านตรงนี้ก็หน่อยดีกว่าอาการของรถเสียมีอยู่หลายแบบ คุณผู้หญิงควรที่จะเรียนรู้เอาไว้
> ยางแตก อาการนี้โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักจะเกิดขึ้นคือฟลุคจริงๆ หรือไม่ก็โชคร้ายสุดๆ ยามเมื่อรถเสีย คุณผู้หญิงที่แสนจะบอบบางคงไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนยางเองหรอก ที่สำคัญโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่นิยมมียางสำรองไว้ท้ายรถกันอยู่แล้ว สิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกคือ ขยับรถไม่ให้กีดขวางการจราจรของรถคันอื่น จากนั้นดูสิว่ามีเบอร์ร้านซ่อมรถที่คุณไปใช้บริการบ่อยๆ หรือโทร.หาศูนย์บริการซ่อมรถที่คุณถอยรถออกมาก็ได้ แต่หากว่ามีอู่ซ่อมรถอยู่ห่างไม่ไกลนักก็จ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถแท็กซี่ไปรับช่างมาซ่อมให้คุณก็ได้ สุดท้ายเมื่อรถของคุณยังพอที่จะประคองตัวไปถึงอู่ได้ ก็ให้ขับไปจะเป็นการดีที่สุด
> น้ำมันหมด เรื่องนี้น้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นกับคุณสาวๆ เพราะด้วยลักษณะนิสัยที่ละเอียดลออทำให้ต้องหมั่นเติมน้ำมันให้เต็มถังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความอุ่นใจ แต่หากวันดีคืนดีเกิดน้ำมันหมดไม่รู้ตัว การแก้ไขที่เข้าท่ามีดังนี้ เรียกรถแท็กซี่ให้มาช่วยลากรถคุณไปปั้มที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าเกิดน้ำมันหมดในถนนที่ไม่ค่อยมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาล่ะ ให้คุณโทร.หาคนทางบ้านแจ้งว่าคุณน้ำมันอยู่ตรงนั้นตรงนี้นะ หรือโทร.แจ้งไปที่จส.100 เพื่อให้ช่วยกระจายข่าวและขอความช่วยเหลือ หากมีรถแล่นมาโดยบังเอิญก็ขอแบ่งน้ำมันจากเขาสักหน่อย เพื่อให้สามารถขับไปถึงปั้มได้
> ความร้อนขึ้นสูง หรืออาการรถฮีทขึ้น ก็จัดการได้ง่ายๆ ให้คุณเปิดฝากระโปรงรถ แต่อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำรถขึ้นมานะ เพราะว่าน้ำยังมีความร้อนสูงอยู่มากและแรงดันความร้องสูง หากคุณปุปปับเปิดขึ้นมาน้ำที่เดือดอยู่อาจกระฉูดมาโดนคุณ ให้ผิวพรรณ หน้าตาโดนลวกได้ ให้ใจเย็นสักนิดรอสักครู่ให้รถมีความเย็น แล้วจึงค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำ ส่วนของฝาหม้อน้ำคือส่วนที่เป็นหม้อน้ำเหล็กหรือที่เป็นรังผึ้งนั่นเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิด เรื่อยๆ จนกว่าน้ำจะค่อยๆ เย็นขึ้น เมื่อเสร็จแล้วก็สตาร์รถดูสิว่าติดไหม หากยังไม่ติด อาจเป็นเพราะยังคงมีความร้อนอยู่ ก็เป็นได้
> แบตเตอรี่หมด อาการที่บอกว่าคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่รถหมดคือ สตาร์ไม่ติด บิดกุญแจแล้วทุกอย่างก็ยังคงเงียบกริบ หากไม่แน่ใจว่าเกิดอาการแบตเตอรี่หมดหรือไม่ ก็ให้ลองกดแตร หากแตรยังไม่ดัง นั่นก็มั่นใจได้เลยว่า แบตเตอรี่หมดอย่างแน่นอนหากคุณพอมีสายพ่วงกับแบตเตอรี่ก็เพียงแค่ขอแบตเตอรี่จากรถคันอื่น ให้จอดรถเทียบข้างกัน แต่อย่าให้ตัวถังรถติดกัน เพราะอาจเกิดประกายไฟ จากนั้นเอาสายพ่วงแบตเตอรี่ เสียบเข้าที่ขั้วแบตเตอรี่ของรถทั้งสองคัน โดยหนีบจากรถคันที่มีแบตเตอรี่ก่อน การเสียบนั้นให้คุณจำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า “บวกต่อบวก ลบต่อลบ” จากนั้นให้คันที่มีแบตเตอรี่สตาร์รถเพื่อถ่ายไฟเข้าในแบตเตอรี่รถคุณ ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยประมาณ จากนั้นคุณก็ลองสตาร์รถของคุณดูว่าสตาร์ติดหรือไม่
ทุกวันนี้น้ำมันขึ้นราคากันเป็นว่าเล่น แต่การจราจรก็ยังคงติดขัดอยู่เช่นเดิม สาวๆ ทำงานอย่างเราก็มีที่ต้องขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเอง พอรถเกิดอาการงอแงขึ้นมาก็คงตกใจทำอะไรกันไม่ค่อยจะถูกใช่ไหม มาอ่านตรงนี้ก็หน่อยดีกว่าอาการของรถเสียมีอยู่หลายแบบ คุณผู้หญิงควรที่จะเรียนรู้เอาไว้
> ยางแตก อาการนี้โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักจะเกิดขึ้นคือฟลุคจริงๆ หรือไม่ก็โชคร้ายสุดๆ ยามเมื่อรถเสีย คุณผู้หญิงที่แสนจะบอบบางคงไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนยางเองหรอก ที่สำคัญโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่นิยมมียางสำรองไว้ท้ายรถกันอยู่แล้ว สิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกคือ ขยับรถไม่ให้กีดขวางการจราจรของรถคันอื่น จากนั้นดูสิว่ามีเบอร์ร้านซ่อมรถที่คุณไปใช้บริการบ่อยๆ หรือโทร.หาศูนย์บริการซ่อมรถที่คุณถอยรถออกมาก็ได้ แต่หากว่ามีอู่ซ่อมรถอยู่ห่างไม่ไกลนักก็จ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถแท็กซี่ไปรับช่างมาซ่อมให้คุณก็ได้ สุดท้ายเมื่อรถของคุณยังพอที่จะประคองตัวไปถึงอู่ได้ ก็ให้ขับไปจะเป็นการดีที่สุด
> น้ำมันหมด เรื่องนี้น้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นกับคุณสาวๆ เพราะด้วยลักษณะนิสัยที่ละเอียดลออทำให้ต้องหมั่นเติมน้ำมันให้เต็มถังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความอุ่นใจ แต่หากวันดีคืนดีเกิดน้ำมันหมดไม่รู้ตัว การแก้ไขที่เข้าท่ามีดังนี้ เรียกรถแท็กซี่ให้มาช่วยลากรถคุณไปปั้มที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าเกิดน้ำมันหมดในถนนที่ไม่ค่อยมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาล่ะ ให้คุณโทร.หาคนทางบ้านแจ้งว่าคุณน้ำมันอยู่ตรงนั้นตรงนี้นะ หรือโทร.แจ้งไปที่จส.100 เพื่อให้ช่วยกระจายข่าวและขอความช่วยเหลือ หากมีรถแล่นมาโดยบังเอิญก็ขอแบ่งน้ำมันจากเขาสักหน่อย เพื่อให้สามารถขับไปถึงปั้มได้
> ความร้อนขึ้นสูง หรืออาการรถฮีทขึ้น ก็จัดการได้ง่ายๆ ให้คุณเปิดฝากระโปรงรถ แต่อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำรถขึ้นมานะ เพราะว่าน้ำยังมีความร้อนสูงอยู่มากและแรงดันความร้องสูง หากคุณปุปปับเปิดขึ้นมาน้ำที่เดือดอยู่อาจกระฉูดมาโดนคุณ ให้ผิวพรรณ หน้าตาโดนลวกได้ ให้ใจเย็นสักนิดรอสักครู่ให้รถมีความเย็น แล้วจึงค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำ ส่วนของฝาหม้อน้ำคือส่วนที่เป็นหม้อน้ำเหล็กหรือที่เป็นรังผึ้งนั่นเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปทีละนิด เรื่อยๆ จนกว่าน้ำจะค่อยๆ เย็นขึ้น เมื่อเสร็จแล้วก็สตาร์รถดูสิว่าติดไหม หากยังไม่ติด อาจเป็นเพราะยังคงมีความร้อนอยู่ ก็เป็นได้
> แบตเตอรี่หมด อาการที่บอกว่าคุณกำลังประสบปัญหาเรื่องแบตเตอรี่รถหมดคือ สตาร์ไม่ติด บิดกุญแจแล้วทุกอย่างก็ยังคงเงียบกริบ หากไม่แน่ใจว่าเกิดอาการแบตเตอรี่หมดหรือไม่ ก็ให้ลองกดแตร หากแตรยังไม่ดัง นั่นก็มั่นใจได้เลยว่า แบตเตอรี่หมดอย่างแน่นอนหากคุณพอมีสายพ่วงกับแบตเตอรี่ก็เพียงแค่ขอแบตเตอรี่จากรถคันอื่น ให้จอดรถเทียบข้างกัน แต่อย่าให้ตัวถังรถติดกัน เพราะอาจเกิดประกายไฟ จากนั้นเอาสายพ่วงแบตเตอรี่ เสียบเข้าที่ขั้วแบตเตอรี่ของรถทั้งสองคัน โดยหนีบจากรถคันที่มีแบตเตอรี่ก่อน การเสียบนั้นให้คุณจำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า “บวกต่อบวก ลบต่อลบ” จากนั้นให้คันที่มีแบตเตอรี่สตาร์รถเพื่อถ่ายไฟเข้าในแบตเตอรี่รถคุณ ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยประมาณ จากนั้นคุณก็ลองสตาร์รถของคุณดูว่าสตาร์ติดหรือไม่
2.4.09
มิชลินเปิด “MICHELIN Primacy LC” บุกรถนั่งกลาง-ใหญ่
มิชลินเปิด “MICHELIN Primacy LC” บุกรถนั่งกลาง-ใหญ่
ข่าวในประเทศ - มิชลินแนะนำยาง รุ่นใหม่ล่าสุด MICHELIN Primacy LC ยางสำหรับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่และขนาดกลาง ชูความนุ่มสบาย ช่วยประหยัดน้ำมันและปลอดภัยสูงสุด มีให้เลือกถึง 16 ขนาดตั้งแต่ 15-18 นิ้ว สนนราคาเริ่มต้นเพียง 3,000 บาท
นายเกตง บาเชอเลต์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถปิคอัพ มิชลิน กล่าวว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของบริษัทฯ พบว่า ความนุ่มสบายในการขับขี่เป็นความต้องการอันดับแรกๆ ของผู้ขับขี่ชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถยนต์นั่งขนาดใหญ่และขนาดกลาง
ซึ่งมิชลินประเมินว่าตลาดนี้มีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งล้านเส้นต่อปี ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคดังกล่าว มิชลินจึงคิดค้นและพัฒนายาง MICHELIN Primacy LC ขึ้น ด้วยเทคโนโลยีแก้มยางสมบูรณ์แบบ (Optimized Bead Filler Technology) เพิ่มความยืดหยุ่น ดูดซับแรงกระแทก พร้อมหน้ายางที่มีความยืดหยุ่นสูง (High Flexible Tread) ช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนจากถนนไม่ให้เข้าสู่ห้องโดยสาร
“เราเชื่อมั่นว่า ยาง MICHELIN Primacy LC จะได้รับการตอบรับอย่างดี จากการเติบโตของตลาดยางสมรรถนะสูง และขณะนี้ได้ถูกเลือกใช้ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่โตโยต้า อัลติส ฮอนด้า ซีวิค จนถึงรถรุ่นใหญ่อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และเลกซัส ที่พัฒนามาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความนุ่มสบายเป็นหลัก” นายเกตง กล่าว
ทั้งนี้ ยาง MICHELIN Primacy LC มีส่วนช่วยด้านประหยัดน้ำมัน โดยได้เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนถึงร้อยละ 13 จึงให้คุณสมบัติประหยัดน้ำมันมากกว่ายางรุ่นก่อน (เทียบกับยางมิชลิน เอนเนอจีย์ เอ็มเอ็กซ์วี 8)
นอกจากนั้น ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ความปลอดภัยสูงสุด ด้วยลายดอกยางที่ถูกออกแบบใหม่ ให้มีหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากกว่ายางรุ่นก่อนถึงร้อยละ 21 จึงเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน และเบรคได้ดีขึ้น ด้วยระยะเบรคที่สั้นกว่าถึง 1.7 เมตร แม้ขับขี่บนถนนเปียก โดยยาง MICHELIN Primacy LC ได้รับเครื่องหมาย กรีน เอ็กซ์ จากมิชลิน (Green X Label) เพื่อรับประกันคุณภาพการประหยัดน้ำมัน ความปลอดภัยและอายุการใช้งานยาวนาน
สำหรับ ยาง MICHELIN Primacy LC เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป รวมทั้งสิ้น 16 ขนาด ตั้งแต่ขนาด 15 ถึงขนาด 18 นิ้ว สำหรับราคาที่แนะนำสู่ตลาดเริ่มต้นตั้งแต่ราคาเส้นละ 3,000 ถึง 7,300 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของยาง MICHELIN Primacy LC ได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์ ครบวงจร “ไทร์พลัส” ศูนย์บริการยางมิชลินทั่วประเทศ หรือที่ มิชลิน ฮอตไลน์ โทร. 0-2793-6900 www.michelin.co.th
ข่าวในประเทศ - มิชลินแนะนำยาง รุ่นใหม่ล่าสุด MICHELIN Primacy LC ยางสำหรับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่และขนาดกลาง ชูความนุ่มสบาย ช่วยประหยัดน้ำมันและปลอดภัยสูงสุด มีให้เลือกถึง 16 ขนาดตั้งแต่ 15-18 นิ้ว สนนราคาเริ่มต้นเพียง 3,000 บาท
นายเกตง บาเชอเลต์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจยางรถยนต์นั่งและรถปิคอัพ มิชลิน กล่าวว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของบริษัทฯ พบว่า ความนุ่มสบายในการขับขี่เป็นความต้องการอันดับแรกๆ ของผู้ขับขี่ชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้รถยนต์นั่งขนาดใหญ่และขนาดกลาง
ซึ่งมิชลินประเมินว่าตลาดนี้มีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งล้านเส้นต่อปี ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคดังกล่าว มิชลินจึงคิดค้นและพัฒนายาง MICHELIN Primacy LC ขึ้น ด้วยเทคโนโลยีแก้มยางสมบูรณ์แบบ (Optimized Bead Filler Technology) เพิ่มความยืดหยุ่น ดูดซับแรงกระแทก พร้อมหน้ายางที่มีความยืดหยุ่นสูง (High Flexible Tread) ช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนจากถนนไม่ให้เข้าสู่ห้องโดยสาร
“เราเชื่อมั่นว่า ยาง MICHELIN Primacy LC จะได้รับการตอบรับอย่างดี จากการเติบโตของตลาดยางสมรรถนะสูง และขณะนี้ได้ถูกเลือกใช้ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่โตโยต้า อัลติส ฮอนด้า ซีวิค จนถึงรถรุ่นใหญ่อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และเลกซัส ที่พัฒนามาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความนุ่มสบายเป็นหลัก” นายเกตง กล่าว
ทั้งนี้ ยาง MICHELIN Primacy LC มีส่วนช่วยด้านประหยัดน้ำมัน โดยได้เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนถึงร้อยละ 13 จึงให้คุณสมบัติประหยัดน้ำมันมากกว่ายางรุ่นก่อน (เทียบกับยางมิชลิน เอนเนอจีย์ เอ็มเอ็กซ์วี 8)
นอกจากนั้น ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ความปลอดภัยสูงสุด ด้วยลายดอกยางที่ถูกออกแบบใหม่ ให้มีหน้าสัมผัสกับพื้นถนนมากกว่ายางรุ่นก่อนถึงร้อยละ 21 จึงเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน และเบรคได้ดีขึ้น ด้วยระยะเบรคที่สั้นกว่าถึง 1.7 เมตร แม้ขับขี่บนถนนเปียก โดยยาง MICHELIN Primacy LC ได้รับเครื่องหมาย กรีน เอ็กซ์ จากมิชลิน (Green X Label) เพื่อรับประกันคุณภาพการประหยัดน้ำมัน ความปลอดภัยและอายุการใช้งานยาวนาน
สำหรับ ยาง MICHELIN Primacy LC เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป รวมทั้งสิ้น 16 ขนาด ตั้งแต่ขนาด 15 ถึงขนาด 18 นิ้ว สำหรับราคาที่แนะนำสู่ตลาดเริ่มต้นตั้งแต่ราคาเส้นละ 3,000 ถึง 7,300 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของยาง MICHELIN Primacy LC ได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์ ครบวงจร “ไทร์พลัส” ศูนย์บริการยางมิชลินทั่วประเทศ หรือที่ มิชลิน ฮอตไลน์ โทร. 0-2793-6900 www.michelin.co.th
31.3.09
นิสสัน" ยันลุย "อีโคคาร์" มาแน่ปีหน้า
นิสสัน" ยันลุย "อีโคคาร์" มาแน่ปีหน้า
ข่าวในประเทศ – บิ๊กบอสใหม่นิสสันประกาศชัดโครงการ “อีโคคาร์” มาแน่ปีหน้าและจะเป็นทีเด็ดกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ไทย บวกกับค่าเงินเยนแข็งมีผลต่อต้นทุนเป็นเหตุให้บริษัทแม่โยกฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาไทย-อินเดีย เชื่อ 3-4 ปีเห็นยอดขายรถเล็กรวมทุกยี่ห้อระดับ 1.0-1.5 แสนคันชัวร์ เตรียมปูทางปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งการบริหาร-ภาพลักษณ์ ดีเดย์ 21 เมษายนนี้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ประเดิมรุ่นแรกกับ“เทียน่า ”ชูความหรูหราพร้อมสมรรถนะเหนือคู่แข่ง เคาะราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน
นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจ และการที่ค่าเงินเยนแข็งตัว ส่งผลกับต้นทุนการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นที่สูงขึ้น จึงทำให้บริษัทแม่ต้องขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆซึ่งรวมถึงไทย และอินเดีย โดยจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก(เอหรือบีแพล็ตฟอร์ม)เป็นหลัก เช่นกันกับโครงการอีโคคาร์ในไทย ที่บริษัทลงทุนไปกว่า 5,000 ล้านบาท ยังดำเนินการตามแผนเดิม โดยมีกำหนดเปิดตัวรถช่วงปี 2553
“อีโคคาร์เป็นรถเล็กราคาประหยัด ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ในประเทศให้มีความคึกคัก ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าจะมีรถทำตลาดในปีหน้า และจากนั้นจะมีหลายค่ายทยอยเปิดตัวทำตลาดซึ่งระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปี อีโคคาร์จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นตลาดใหญ่ด้วยยอดขาย 1.0-1.5 แสนคันต่อปี”
อย่างไรก็ตามเพื่อปูทางไปสู่แผนงานดังกล่าว บริษัทจึงเตรียมปรับภาพลักษณ์และการบริหารงานครั้งใหญ่ โดยวันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป จะเริ่มปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ซึ่งหลักๆจะพยายามดึงพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และวันที่ 21 เมษายน 2552 จะเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการจาก สยามนิสสัน ออโตโมบิล เป็นบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้สอดคลองกับชื่อบริษัทอื่นๆในประเทศ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันเดียวกันทั่วโลก
“ในไทยเรามีบริษัทในเครือหลายแห่งที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า นิสสัน อาทิ นิสสัน ลีสซิ่ง หรือ นิสสัน พาว์เวอร์เทรน ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อบริษัทครั้งนี้จะทำให้ทุกบริษัทมีชื่อไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการสื่อสาร และแสดงถึงภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้มแข็งต่อไป”
ทั้งนี้บริษัทยืนยันที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นในประเทศไทยเอาไว้ที่ 75% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือ 25% ยังเป็นของกลุ่มสยามกลการ (พรเทพ พรประภา) ซึ่งการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของบริษัทคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องทำหลายเรื่องอาทิ ผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น ราคา ที่ต้องไปในแนวเดียวกัน แต่เชื่อว่าทั้งหมดจะช่วยยกระดับแบรนด์นิสสันในอนาคต
นิสสัน เทียน่า
นายฮาเซกาวา กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพลักษณ์ใหม่ของนิสสัน จะเริ่มกับโปรดักต์อย่าง เทียน่า ที่เปิดตัววันนี้(19 มี.ค.) กับความหรูหรา ทันสมัย สมรรถนะที่ไม่เป็นรองคู่แข่งในท้องตลาด(โตโยต้า คัมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด) กับเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร ใน 6 รุ่นย่อย ราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน
“เราเชื่อมั่นว่าความพึงพอใจของลูกค้าเริ่มต้นจากคุณภาพของสินค้าที่ดี ซึ่งนิสสัน เทียน่าเป็นหนึ่งในรถยนต์คุณภาพ และเป็นรถยนต์น่าขับรุ่นหนึ่งที่นิสสันได้นำเสนอแก่ลูกค้าในประเทศไทย โดยเราหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ นิสสัน จากเทียน่า รุ่นใหม่นี้”
สำหรับปี2552บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่น 28,000 คัน ขณะที่การส่งออกประมาณการณ์ไว้ 50,000 คัน ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างบริหารและภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 4 ปีนับจากนี้ จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 10% จากปัจจุบันที่มีเพียง 5-6% เท่านั้น
สำหรับนายโทรุ ฮาเซกาวา เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้นายฮาเซกาวา เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ นิสสัน มอเตอร์ อินโดนีเซีย (พ.ศ. 2544 -2547 )และนิสสัน มิดเดิลอีสต์ (พ.ศ.2549- 2551)
ข่าวในประเทศ – บิ๊กบอสใหม่นิสสันประกาศชัดโครงการ “อีโคคาร์” มาแน่ปีหน้าและจะเป็นทีเด็ดกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ไทย บวกกับค่าเงินเยนแข็งมีผลต่อต้นทุนเป็นเหตุให้บริษัทแม่โยกฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาไทย-อินเดีย เชื่อ 3-4 ปีเห็นยอดขายรถเล็กรวมทุกยี่ห้อระดับ 1.0-1.5 แสนคันชัวร์ เตรียมปูทางปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งการบริหาร-ภาพลักษณ์ ดีเดย์ 21 เมษายนนี้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ประเดิมรุ่นแรกกับ“เทียน่า ”ชูความหรูหราพร้อมสมรรถนะเหนือคู่แข่ง เคาะราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน
นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจ และการที่ค่าเงินเยนแข็งตัว ส่งผลกับต้นทุนการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นที่สูงขึ้น จึงทำให้บริษัทแม่ต้องขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆซึ่งรวมถึงไทย และอินเดีย โดยจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก(เอหรือบีแพล็ตฟอร์ม)เป็นหลัก เช่นกันกับโครงการอีโคคาร์ในไทย ที่บริษัทลงทุนไปกว่า 5,000 ล้านบาท ยังดำเนินการตามแผนเดิม โดยมีกำหนดเปิดตัวรถช่วงปี 2553
“อีโคคาร์เป็นรถเล็กราคาประหยัด ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ในประเทศให้มีความคึกคัก ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าจะมีรถทำตลาดในปีหน้า และจากนั้นจะมีหลายค่ายทยอยเปิดตัวทำตลาดซึ่งระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปี อีโคคาร์จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นตลาดใหญ่ด้วยยอดขาย 1.0-1.5 แสนคันต่อปี”
อย่างไรก็ตามเพื่อปูทางไปสู่แผนงานดังกล่าว บริษัทจึงเตรียมปรับภาพลักษณ์และการบริหารงานครั้งใหญ่ โดยวันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป จะเริ่มปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ซึ่งหลักๆจะพยายามดึงพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และวันที่ 21 เมษายน 2552 จะเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการจาก สยามนิสสัน ออโตโมบิล เป็นบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้สอดคลองกับชื่อบริษัทอื่นๆในประเทศ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันเดียวกันทั่วโลก
“ในไทยเรามีบริษัทในเครือหลายแห่งที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า นิสสัน อาทิ นิสสัน ลีสซิ่ง หรือ นิสสัน พาว์เวอร์เทรน ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อบริษัทครั้งนี้จะทำให้ทุกบริษัทมีชื่อไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการสื่อสาร และแสดงถึงภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้มแข็งต่อไป”
ทั้งนี้บริษัทยืนยันที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นในประเทศไทยเอาไว้ที่ 75% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือ 25% ยังเป็นของกลุ่มสยามกลการ (พรเทพ พรประภา) ซึ่งการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของบริษัทคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องทำหลายเรื่องอาทิ ผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น ราคา ที่ต้องไปในแนวเดียวกัน แต่เชื่อว่าทั้งหมดจะช่วยยกระดับแบรนด์นิสสันในอนาคต
นิสสัน เทียน่า
นายฮาเซกาวา กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพลักษณ์ใหม่ของนิสสัน จะเริ่มกับโปรดักต์อย่าง เทียน่า ที่เปิดตัววันนี้(19 มี.ค.) กับความหรูหรา ทันสมัย สมรรถนะที่ไม่เป็นรองคู่แข่งในท้องตลาด(โตโยต้า คัมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด) กับเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร ใน 6 รุ่นย่อย ราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน
“เราเชื่อมั่นว่าความพึงพอใจของลูกค้าเริ่มต้นจากคุณภาพของสินค้าที่ดี ซึ่งนิสสัน เทียน่าเป็นหนึ่งในรถยนต์คุณภาพ และเป็นรถยนต์น่าขับรุ่นหนึ่งที่นิสสันได้นำเสนอแก่ลูกค้าในประเทศไทย โดยเราหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ นิสสัน จากเทียน่า รุ่นใหม่นี้”
สำหรับปี2552บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่น 28,000 คัน ขณะที่การส่งออกประมาณการณ์ไว้ 50,000 คัน ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างบริหารและภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 4 ปีนับจากนี้ จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 10% จากปัจจุบันที่มีเพียง 5-6% เท่านั้น
สำหรับนายโทรุ ฮาเซกาวา เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้นายฮาเซกาวา เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ นิสสัน มอเตอร์ อินโดนีเซีย (พ.ศ. 2544 -2547 )และนิสสัน มิดเดิลอีสต์ (พ.ศ.2549- 2551)
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
28.3.09
BMW พร้อมอวดโฉม4รุ่นใหม่ มอเตอร์โชว์
BMW พร้อมอวดโฉม4รุ่นใหม่ มอเตอร์โชว์
ข่าวในประเทศ - บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมอวดโฉม 4 รถใหม่ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์นำขบวนโดย BMW Z4 Roadster ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ระดับโลกที่งานดีทรอยท์, BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่, มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล และ มอเตอร์ไซค์ BMW HP2 Sport Limited Edition พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ ดอกเบี้ย0%
ิซีรี่ส์ 7 ใหม่
มิคาเอล คอร์ดิส ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า การเข้าร่วมแสดงรถในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ยานยนต์ คน รักษ์ธรรมชาติ Green Life on Wheels ซึ่งเป็นคอเซ็ปต์ของงานครั้งนี้ โดยมีรถใหม่ร่วมแสดงถึง 4 รุ่นได้แก่
1. ซีรี่ย์ 7 ใหม่ มี2 รุ่นย่อยคือ BMW 750Li และ BMW 740Li โดยเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูป มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทั้งในด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น ระบบบังคับเลี้ยวอัจฉริยะ Integral Active Steering ที่ช่วยให้รถมีเสถียรภาพในการบังคับเลี้ยว ทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวในการเลี้ยวในที่แคบๆ เช่นในลานจอดรถ
ระบบ Night Vision ใหม่ ซึ่งเป็นระบบกล้องอินฟาเรดที่มาพร้อมกับความสามารถในการจับทิศทางและความเร็วของคนหรือสัตว์ เพื่อคำนวณและเตือนล่วงหน้าให้ผู้ขับได้ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะยามค่ำคืนและอยู่นอกระยะส่องของไฟหน้า
นอกจากนั้น BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่ทั้งสองรุ่นได้รับการติดตั้งระบบนำทาง BMW Navigation System Professional ซึ่งทำงานบนระบบฮาร์ดดิสก์ เพื่อให้ความสะดวกสบายและรวดเร็วในการค้นหาเส้นทางอีกด้วย
ด้านหัวใจของ 750Li: เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร / 1,750-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 8.8 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 266 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 15,699,000 บาท)
ส่วน 740Li: เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร / 1,500-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.0 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 10.0 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 235 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 12,999,000 บาท)
แซด4 โรดสเตอร์
2. บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 โรดสเตอร์ ใหม่ โรดสเตอร์ที่ผสมผสานความคลาสสิก เทคโนโลยีล้ำหน้า และความสะดวกสบาย มีการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง มีหลังคาแบบ Retractable Hardtop น้ำหนักเบาสามารถเปิดหรือปิดในเวลาเพียง 20 วินาที อีกทั้งยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ (ขณะหลังคาปิด)
Z4 sDrive23i บรรจุเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร / 2,750 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 207 กรัมต่อกิโลเมตร
มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล
3. มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ใหม่ นอกจากดีไซน์โดนใจในสไตล์มินิและอารมณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจสไตล์โกคาร์ของมินิแล้ว มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ยังมาพร้อมกับแอ็คทีฟโรลบาร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เป็นหนึ่งเดียวในรถคลาสนี้ มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ลมี 2 รุ่น คือ MINI Cooper S Convertible (ราคา 3,200,000 บาท) และ MINI Cooper Convertible (ราคา 2,800,000 บาท)
็HP2 Sport
4. BMW Motorcycle HP2 Sport มอเตอร์ไซค์สปอร์ตสายพันธุ์บ๊อกเซอร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจากสนามแข่งสู่ท้องถนน HP2 Sport ใช้ตัวถังน้ำหนักเบาผลิตจากวัสดุคาร์บอน ระบบการควบคุมและแดชบอร์ดแบบ MotoGP ล้อแม๊กซ์อลูมิเนียมน้ำหนักเบา และระบบเปลี่ยนเกียร์ Shift Assistance และระบบเบรค Brembo monoblock จากมอเตอร์ไซค์แข่ง อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง 1,200 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 133 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ แล้วด้วยน้ำหนักเพียง 178 กิโลกรัม BMW Motorcycle HP2 Sport มีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาต่ำกว่า 3.1 วินาที (ราคา 1,390,000 บาท Limited Edition เพียง 10 คันในเมืองไทย)
ด้านแคมเปญมอเตอร์โชว์ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยจัดแคมเปญพิเศษคือ (1) แคมเปญ ”Low Monthly Payment แบ่งชำระแบบสบายๆ” หรือ (2) ”ดอกเบี้ย 0%” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 6 เมษายน พ.ศ. 2552 และพิเศษสำหรับช่วงมอเตอร์โชว์แคมเปญ ทุกท่านที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในแคมเปญนี้จะได้รับของขวัญจากบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย คือ iPod Touch ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเพื่อฟังเพลงจากระบบเครื่องเสียงของรถ BMW ได้
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ข่าวในประเทศ - บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมอวดโฉม 4 รถใหม่ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์นำขบวนโดย BMW Z4 Roadster ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ระดับโลกที่งานดีทรอยท์, BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่, มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล และ มอเตอร์ไซค์ BMW HP2 Sport Limited Edition พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ ดอกเบี้ย0%
ิซีรี่ส์ 7 ใหม่
มิคาเอล คอร์ดิส ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า การเข้าร่วมแสดงรถในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ยานยนต์ คน รักษ์ธรรมชาติ Green Life on Wheels ซึ่งเป็นคอเซ็ปต์ของงานครั้งนี้ โดยมีรถใหม่ร่วมแสดงถึง 4 รุ่นได้แก่
1. ซีรี่ย์ 7 ใหม่ มี2 รุ่นย่อยคือ BMW 750Li และ BMW 740Li โดยเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูป มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทั้งในด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น ระบบบังคับเลี้ยวอัจฉริยะ Integral Active Steering ที่ช่วยให้รถมีเสถียรภาพในการบังคับเลี้ยว ทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวในการเลี้ยวในที่แคบๆ เช่นในลานจอดรถ
ระบบ Night Vision ใหม่ ซึ่งเป็นระบบกล้องอินฟาเรดที่มาพร้อมกับความสามารถในการจับทิศทางและความเร็วของคนหรือสัตว์ เพื่อคำนวณและเตือนล่วงหน้าให้ผู้ขับได้ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะยามค่ำคืนและอยู่นอกระยะส่องของไฟหน้า
นอกจากนั้น BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่ทั้งสองรุ่นได้รับการติดตั้งระบบนำทาง BMW Navigation System Professional ซึ่งทำงานบนระบบฮาร์ดดิสก์ เพื่อให้ความสะดวกสบายและรวดเร็วในการค้นหาเส้นทางอีกด้วย
ด้านหัวใจของ 750Li: เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร / 1,750-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 8.8 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 266 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 15,699,000 บาท)
ส่วน 740Li: เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร / 1,500-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.0 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 10.0 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 235 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 12,999,000 บาท)
แซด4 โรดสเตอร์
2. บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 โรดสเตอร์ ใหม่ โรดสเตอร์ที่ผสมผสานความคลาสสิก เทคโนโลยีล้ำหน้า และความสะดวกสบาย มีการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง มีหลังคาแบบ Retractable Hardtop น้ำหนักเบาสามารถเปิดหรือปิดในเวลาเพียง 20 วินาที อีกทั้งยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ (ขณะหลังคาปิด)
Z4 sDrive23i บรรจุเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร / 2,750 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 207 กรัมต่อกิโลเมตร
มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล
3. มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ใหม่ นอกจากดีไซน์โดนใจในสไตล์มินิและอารมณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจสไตล์โกคาร์ของมินิแล้ว มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ยังมาพร้อมกับแอ็คทีฟโรลบาร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เป็นหนึ่งเดียวในรถคลาสนี้ มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ลมี 2 รุ่น คือ MINI Cooper S Convertible (ราคา 3,200,000 บาท) และ MINI Cooper Convertible (ราคา 2,800,000 บาท)
็HP2 Sport
4. BMW Motorcycle HP2 Sport มอเตอร์ไซค์สปอร์ตสายพันธุ์บ๊อกเซอร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจากสนามแข่งสู่ท้องถนน HP2 Sport ใช้ตัวถังน้ำหนักเบาผลิตจากวัสดุคาร์บอน ระบบการควบคุมและแดชบอร์ดแบบ MotoGP ล้อแม๊กซ์อลูมิเนียมน้ำหนักเบา และระบบเปลี่ยนเกียร์ Shift Assistance และระบบเบรค Brembo monoblock จากมอเตอร์ไซค์แข่ง อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง 1,200 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 133 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ แล้วด้วยน้ำหนักเพียง 178 กิโลกรัม BMW Motorcycle HP2 Sport มีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาต่ำกว่า 3.1 วินาที (ราคา 1,390,000 บาท Limited Edition เพียง 10 คันในเมืองไทย)
ด้านแคมเปญมอเตอร์โชว์ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยจัดแคมเปญพิเศษคือ (1) แคมเปญ ”Low Monthly Payment แบ่งชำระแบบสบายๆ” หรือ (2) ”ดอกเบี้ย 0%” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 6 เมษายน พ.ศ. 2552 และพิเศษสำหรับช่วงมอเตอร์โชว์แคมเปญ ทุกท่านที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในแคมเปญนี้จะได้รับของขวัญจากบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย คือ iPod Touch ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเพื่อฟังเพลงจากระบบเครื่องเสียงของรถ BMW ได้
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
25.3.09
เบนซ์เผยโปรเจ็กต์สปอร์ตใหม่ เอสแอลเอส
เบนซ์เผยโปรเจ็กต์สปอร์ตใหม่ เอสแอลเอส
ข่าวต่างประเทศ - แม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็จัดการกระตุ้นตลาดรถสปอร์ตระลอกใหม่ เมื่อยืนยันเดินหน้าโปรเจ็กต์การพัฒนาซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่จะใช้ชื่อว่าเอสแอลเอส โดยมีเป้าหมายเตรียมลงสู่ตลาดภายในปี 2011 พร้อมประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก หรือที่เรียกว่า Gullwing อันเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตรุ่นเก่า 300SL ในปี 1954
งานนี้ไม่ต้องรอข้อมูลหรือภาพแอบถ่ายแบบ Spy Shot แต่อย่างใด เพราะค่ายดาว 3 แฉกนำข้อมูลพร้อมภาพของคันที่กำลังพัฒนานำออกเผยแพร่ตามอินเตอร์เนตเองเลย โดยเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นโปรเจ็กต์รถสปอร์ตที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนที่กำลังจะยุติการผลิตเดือนพฤษภาคมนี้แต่อย่างใด แม้ว่าชื่อรุ่นมีลักษณะคล้ายกันและอักษรตัวท้ายจะเป็น S ซึ่งเป็นตัวที่ตามหลัง R ก็ตาม
เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาตัวรถจะมีขนาดเล็กกว่าเอสแอลอาร์ และมีลักษณะการเปิดประตูในแบบปีกนก โดยตัวถังขึ้นรูปแบบในแบบสเปซเฟรม และใช้อะลูมิเนียมผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตโครงสร้างห้องโดยสาร และชิ้นส่วนตัวถังเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระดับ 1,623 กิโลกรัม หรือเบากว่าเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนอยู่ 150 กิโลกรัม และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,680 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงของเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นแบบวี8 6,208 ซีซี มีกำลังสูงสุด 571 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 68.6 กก.-ม. ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ 7 จังหวะรุ่นใหม่ Dual-Clutch สู่ล้อคู่หลัง โดยที่เพลาขับฝั่งซ้ายและขวาของเพลาท้ายผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มีน้ำหนักเบาและทนทาน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในรถแข่ง DTM ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ตัวรถให้อัตราเร่งที่ทันใจใช้เวลาเพียง 3.8 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะจุดเด่นที่แรงม้าต่อน้ำหนักอยู่ที่ 2.84 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้า ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โปรเจ็กต์เริ่มทำงานกันมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2006 และตอนนี้ขั้นตอนการพัฒนาเกือบเสร็จสิ้นแล้ว และจะมีการนำคันต้นแบบออกทดสอบตลอดช่วงปี 2009 ก่อนที่จะมีการเปิดตัวคันจริงปี 2010 และเริ่มทำตลาดปี 2011
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ข่าวต่างประเทศ - แม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็จัดการกระตุ้นตลาดรถสปอร์ตระลอกใหม่ เมื่อยืนยันเดินหน้าโปรเจ็กต์การพัฒนาซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่จะใช้ชื่อว่าเอสแอลเอส โดยมีเป้าหมายเตรียมลงสู่ตลาดภายในปี 2011 พร้อมประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก หรือที่เรียกว่า Gullwing อันเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตรุ่นเก่า 300SL ในปี 1954
งานนี้ไม่ต้องรอข้อมูลหรือภาพแอบถ่ายแบบ Spy Shot แต่อย่างใด เพราะค่ายดาว 3 แฉกนำข้อมูลพร้อมภาพของคันที่กำลังพัฒนานำออกเผยแพร่ตามอินเตอร์เนตเองเลย โดยเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นโปรเจ็กต์รถสปอร์ตที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนที่กำลังจะยุติการผลิตเดือนพฤษภาคมนี้แต่อย่างใด แม้ว่าชื่อรุ่นมีลักษณะคล้ายกันและอักษรตัวท้ายจะเป็น S ซึ่งเป็นตัวที่ตามหลัง R ก็ตาม
เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาตัวรถจะมีขนาดเล็กกว่าเอสแอลอาร์ และมีลักษณะการเปิดประตูในแบบปีกนก โดยตัวถังขึ้นรูปแบบในแบบสเปซเฟรม และใช้อะลูมิเนียมผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตโครงสร้างห้องโดยสาร และชิ้นส่วนตัวถังเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระดับ 1,623 กิโลกรัม หรือเบากว่าเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนอยู่ 150 กิโลกรัม และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,680 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงของเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นแบบวี8 6,208 ซีซี มีกำลังสูงสุด 571 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 68.6 กก.-ม. ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ 7 จังหวะรุ่นใหม่ Dual-Clutch สู่ล้อคู่หลัง โดยที่เพลาขับฝั่งซ้ายและขวาของเพลาท้ายผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มีน้ำหนักเบาและทนทาน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในรถแข่ง DTM ของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ตัวรถให้อัตราเร่งที่ทันใจใช้เวลาเพียง 3.8 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะจุดเด่นที่แรงม้าต่อน้ำหนักอยู่ที่ 2.84 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้า ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โปรเจ็กต์เริ่มทำงานกันมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2006 และตอนนี้ขั้นตอนการพัฒนาเกือบเสร็จสิ้นแล้ว และจะมีการนำคันต้นแบบออกทดสอบตลอดช่วงปี 2009 ก่อนที่จะมีการเปิดตัวคันจริงปี 2010 และเริ่มทำตลาดปี 2011
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
23.3.09
BMW 5 Series Gran Turismo Concept ร่างจำแลงซีรีส์ 5 ใหม่
BMW 5 Series Gran Turismo Concept ร่างจำแลงซีรีส์ 5 ใหม่
ไม่ต่างจากตอนที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำต้นแบบที่ชื่อว่า ConceptFascination มาจัดแสดงเมื่อปีที่แล้ว เพราะนี่คือการอุ่นเครื่องในการนำเสนอแนวทางการออกแบบเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นจำหน่ายจริงอย่างอี-คลาสโฉมใหม่ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูก็จัดการเดินตามรอยนี้เช่นกัน กับการเผยโฉมต้นแบบใหม่ที่ชื่อว่า 5 Series Gran Turismo เพื่อเป็นร่างจำแลงในการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ซีดานระดับหรูขนาดกลางอย่างสายพันธุ์ซีรีส์ 5 โฉมใหม่ควรจะเป็นเมื่อถึงเวลาขายจริง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปลายปีนี้
คิวการเปิดตัวของต้นแบบใหม่รุ่นนี้จะอยู่ในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 ต้นเดือนมีนาคมนี้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตัวรถได้รับการพัฒนาตามแนวคิดที่เรียกว่า PAS หรือ Passive Activity Sedan หรือซีดานสุดล้ำที่เปี่ยมด้วยประโยชน์ใช้สอย และนั่นก็เลยทำให้ในตัวต้นแบบได้รับการออกแบบบนตัวถังฟาสแบ็ค 5 ประตู ซึ่งฝากระโปรงหลังสามารถเปิดขึ้นพร้อมกับกระจกบังลมหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสัมภาระ และกว่ากันว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของคริส แบงเกิ้ล ก่อนที่จะเขาจะอำลาจากการเป็นหัวหน้าในส่วนฝ่ายออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู
ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อกลายมาเป็นซีรีส์ 5 ใหม่แล้ว จะมีตัวถังนี้ทำตลาดนอกเหนือจากซีดาน 4 ประตูแบบตัวถัง 3 กล่อง และสเตชันแวกอน 5 ประตูหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากค่ายใบพัดสีฟ้า เพราะถ้าอิงจากการทำตลาดรูปแบบเดิมๆ ของซีรีส์ 5 นับจากตัวถัง E12 จนถึงรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะปลดระวางจากตลาดอย่าง E60/E61 แล้ว ตัวถังไม่น่าจะมีอะไรมากกว่า 2 แบบข้างต้น แต่ในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันอย่างดุเดือด ก็ยังไม่ควรปิดโอกาสของความเป็นไปได้เกี่ยวกับสร้างสีสันในตลาดด้วยตัวถังใหม่
แต่ก็ไม่แน่ด้วยเช่นกันที่ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะยังเล่นมุขเดิมๆ ด้วยการสร้างกระแสความสนใจในกลุ่มลูกค้าให้กลายเป็น Talk of The Town ตามหน้าอินเตอร์เนต ด้วยการผลิตต้นแบบในรูปทรงที่แปลกและแตกต่างออกไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่…สรุปคือ คงต้องรอดูของจริงที่ซีรีส์ 5 ใหม่รหัสตัวถัง F10 ซึ่งมีคิวเปิดตัวปลายปีนี้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่
ในรุ่นต้นแบบ ตัวรถมาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่พอสมควรด้วยความยาว 4,998 มิลลิเมตร กว้างแบบรวมกระจกมองข้าง 2,207 มิลลิเมตร สูง 1,559 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อเหลือเฟือด้วยความยาวถึง 3,070 มิลลิเมตร มั่นใจได้เลยว่าข้างในกว้างขวางและโอ่โถงแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของ Leg Room ของพื้นที่วางขาของเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง
สำหรับงานออกแบบภายนอกเป็นการประยุกต์สไตล์การสร้างสรรค์มาจากซีรีส์ 7 ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่คงเอกลักษณ์ที่สำคัญๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูเอาไว้ เช่น กระจังหน้ารูปไตคู่ หรือ Twin Kidney โดยที่ไฟหน้าเป็นแบบดวงกลมคู่ แต่ในยุคใหม่ๆ รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูเปลี่ยนมาเป็นไฟดวงกลมคู่ในกรอบเหลี่ยม เรียกว่ารายละเอียดโดยรวมของตัวรถเหมือนกับการจับเอาซีรีส์ 7 รุ่นใหม่มาย่อส่วนเพื่อเจาะตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลาง
แนวเส้นหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเทลงมาเพิ่มความสปอร์ต และอีกเอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู คือ การออกแบบแนวเสาหลังคาหลังและแนวของประตูหรือกระจกบานหลังให้โค้งหักลงมาคล้ายกับตะขอ หรือ ตัว J หรือที่เรียกว่า Hofmeister kink หรือ Hofmeister kick หรือ Hofmeisterknick ในภาษาเยอรมัน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับรุ่น 1500 ที่เปิดตัวในปี 1961 ในยุคที่มี Wilhelm Hofmeister เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และนำนามสกุลของผู้ริเริ่มมาใช้ตั้งชื่อแนวทางการออกแบบลักษณะนี้
ภายในห้องโดยสารเน้นความสวยและล้ำสมัย โดยเฉพาะการออกแบบเบาะนั่งหลังให้เป็นแบบแยกส่วนโดยมีแผงคอนโซลกลางยาวคั่นกลาง และเบาะหลังฝั่งซ้ายและขวาสามารถปรับเลื่อนถอยหลังได้ 100 มิลลิเมตร และพนักพิงสามารถปรับเอนหลังได้เช่นกัน ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระมีความจุ 570 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,650 ลิตรเมื่อพับเบาหลังลงมา
ในเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถไม่มีการเปิดเผยออกมา เพราะดูแล้วจุดประสงค์หลักของการนำต้นแบบรุ่นนี้มาเปิดตัวคือ การสร้างกระแสความสนใจของคนทั่วโลกให้มีต่อซีรีส์ 5 ใหม่ เพื่อเตรียมตัวรับกับอีกความหรูจากแบรนด์เยอรมนีที่พร้อมเจาะตลาดรถยนต์
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ไม่ต่างจากตอนที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำต้นแบบที่ชื่อว่า ConceptFascination มาจัดแสดงเมื่อปีที่แล้ว เพราะนี่คือการอุ่นเครื่องในการนำเสนอแนวทางการออกแบบเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นจำหน่ายจริงอย่างอี-คลาสโฉมใหม่ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูก็จัดการเดินตามรอยนี้เช่นกัน กับการเผยโฉมต้นแบบใหม่ที่ชื่อว่า 5 Series Gran Turismo เพื่อเป็นร่างจำแลงในการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ซีดานระดับหรูขนาดกลางอย่างสายพันธุ์ซีรีส์ 5 โฉมใหม่ควรจะเป็นเมื่อถึงเวลาขายจริง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปลายปีนี้
คิวการเปิดตัวของต้นแบบใหม่รุ่นนี้จะอยู่ในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 ต้นเดือนมีนาคมนี้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตัวรถได้รับการพัฒนาตามแนวคิดที่เรียกว่า PAS หรือ Passive Activity Sedan หรือซีดานสุดล้ำที่เปี่ยมด้วยประโยชน์ใช้สอย และนั่นก็เลยทำให้ในตัวต้นแบบได้รับการออกแบบบนตัวถังฟาสแบ็ค 5 ประตู ซึ่งฝากระโปรงหลังสามารถเปิดขึ้นพร้อมกับกระจกบังลมหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสัมภาระ และกว่ากันว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของคริส แบงเกิ้ล ก่อนที่จะเขาจะอำลาจากการเป็นหัวหน้าในส่วนฝ่ายออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู
ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อกลายมาเป็นซีรีส์ 5 ใหม่แล้ว จะมีตัวถังนี้ทำตลาดนอกเหนือจากซีดาน 4 ประตูแบบตัวถัง 3 กล่อง และสเตชันแวกอน 5 ประตูหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากค่ายใบพัดสีฟ้า เพราะถ้าอิงจากการทำตลาดรูปแบบเดิมๆ ของซีรีส์ 5 นับจากตัวถัง E12 จนถึงรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะปลดระวางจากตลาดอย่าง E60/E61 แล้ว ตัวถังไม่น่าจะมีอะไรมากกว่า 2 แบบข้างต้น แต่ในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันอย่างดุเดือด ก็ยังไม่ควรปิดโอกาสของความเป็นไปได้เกี่ยวกับสร้างสีสันในตลาดด้วยตัวถังใหม่
แต่ก็ไม่แน่ด้วยเช่นกันที่ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะยังเล่นมุขเดิมๆ ด้วยการสร้างกระแสความสนใจในกลุ่มลูกค้าให้กลายเป็น Talk of The Town ตามหน้าอินเตอร์เนต ด้วยการผลิตต้นแบบในรูปทรงที่แปลกและแตกต่างออกไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่…สรุปคือ คงต้องรอดูของจริงที่ซีรีส์ 5 ใหม่รหัสตัวถัง F10 ซึ่งมีคิวเปิดตัวปลายปีนี้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่
ในรุ่นต้นแบบ ตัวรถมาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่พอสมควรด้วยความยาว 4,998 มิลลิเมตร กว้างแบบรวมกระจกมองข้าง 2,207 มิลลิเมตร สูง 1,559 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อเหลือเฟือด้วยความยาวถึง 3,070 มิลลิเมตร มั่นใจได้เลยว่าข้างในกว้างขวางและโอ่โถงแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของ Leg Room ของพื้นที่วางขาของเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง
สำหรับงานออกแบบภายนอกเป็นการประยุกต์สไตล์การสร้างสรรค์มาจากซีรีส์ 7 ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่คงเอกลักษณ์ที่สำคัญๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูเอาไว้ เช่น กระจังหน้ารูปไตคู่ หรือ Twin Kidney โดยที่ไฟหน้าเป็นแบบดวงกลมคู่ แต่ในยุคใหม่ๆ รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูเปลี่ยนมาเป็นไฟดวงกลมคู่ในกรอบเหลี่ยม เรียกว่ารายละเอียดโดยรวมของตัวรถเหมือนกับการจับเอาซีรีส์ 7 รุ่นใหม่มาย่อส่วนเพื่อเจาะตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลาง
แนวเส้นหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเทลงมาเพิ่มความสปอร์ต และอีกเอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู คือ การออกแบบแนวเสาหลังคาหลังและแนวของประตูหรือกระจกบานหลังให้โค้งหักลงมาคล้ายกับตะขอ หรือ ตัว J หรือที่เรียกว่า Hofmeister kink หรือ Hofmeister kick หรือ Hofmeisterknick ในภาษาเยอรมัน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับรุ่น 1500 ที่เปิดตัวในปี 1961 ในยุคที่มี Wilhelm Hofmeister เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และนำนามสกุลของผู้ริเริ่มมาใช้ตั้งชื่อแนวทางการออกแบบลักษณะนี้
ภายในห้องโดยสารเน้นความสวยและล้ำสมัย โดยเฉพาะการออกแบบเบาะนั่งหลังให้เป็นแบบแยกส่วนโดยมีแผงคอนโซลกลางยาวคั่นกลาง และเบาะหลังฝั่งซ้ายและขวาสามารถปรับเลื่อนถอยหลังได้ 100 มิลลิเมตร และพนักพิงสามารถปรับเอนหลังได้เช่นกัน ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระมีความจุ 570 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,650 ลิตรเมื่อพับเบาหลังลงมา
ในเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถไม่มีการเปิดเผยออกมา เพราะดูแล้วจุดประสงค์หลักของการนำต้นแบบรุ่นนี้มาเปิดตัวคือ การสร้างกระแสความสนใจของคนทั่วโลกให้มีต่อซีรีส์ 5 ใหม่ เพื่อเตรียมตัวรับกับอีกความหรูจากแบรนด์เยอรมนีที่พร้อมเจาะตลาดรถยนต์
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
20.3.09
2 เวอร์ชันใหม่ “โตโยต้า” แต่งอัลติส-ฟอร์จูนเนอร์ลุย
2 เวอร์ชันใหม่ “โตโยต้า” แต่งอัลติส-ฟอร์จูนเนอร์ลุย
ข่าวในประเทศ - โตโยต้า เผยทีเด็ดเวอร์ชันพิเศษสองรุ่นหลัก “โคโรลลา อัลติส และฟอร์จูนเนอร์” หวังทำยอดขายช่วงงาน “มอเตอร์โชว์” ปลายเดือนนี้ โดยดีลเลอร์ใหญ่ “พิธานพาณิชย์” ปล่อยภาพและรายละเอียดเรียกน้ำย่อยก่อนพบคันจริง สำหรับ “โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตทั้งภายใน-ภายนอก สนนราคา ที่ 829,000 บาท ส่วนฟอร์จูนเนอร์มีให้เลือก 2 เวอร์ชัน โดยรุ่น TRD Sportivo เน้นการตกแต่งพิเศษเช่นกัน รุ่น APERTO เน้นความบันเทิงแก่ผู้โดยสาร ทุกรุ่นผลิตจำนวนจำกัดและมีสีขาวเท่านั้น ส่วนราคายังไม่เคาะ ขณะเดียวกันยังนำ “ยาริส-วีออส” มาแต่งพิเศษเอาใจขาโจ๋ที่ชอบรถไม่ธรรมดา
ชุดตกแต่ง TRD
แม้อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตชนิดแบบไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอยู่นั้น ด้านตลาดรถยนต์เมืองไทยก็ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ใหญ่ของโลกเพราะผลลัพธ์ที่ได้ส่งผลให้ผู้บริหารกุมขมับกันทุกราย สังเกตุจากยอดขายรถยนต์ช่วงเดือนแรกของปี 2552 ที่ตกลงมาถึง 30% ทั้งค่ายเล็กและค่ายใหญ่
แต่ใครละจะหยุดนิ่งทุกค่ายต่างดิ้นร้นเพื่อความอยู่รอดจึงไม่แปลกที่จะเห็นว่าในช่วงนี้ค่ายรถยนต์ต่างทยอยเปิดตัวรถใหม่กันเป็นว่าเล่นและต่างคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในไตรมาส2 มิให้ตกลงไปมากกว่านี้ ที่สำคัญยังมีเวทีให้ลงเล่น โดยเฉพาะยอดขายสามารถสร้างได้ในพริบตาหากสินค้าโดนใจ
“มอเตอร์โชว์” หรือ “ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2552 จึงกลายเป็นเวทีที่ค่ายรถอาศัยในการสร้างยอดขายจากรถรุ่นใหม่ รุ่นปรับโฉม และที่ผ่านมางานมอเตอร์โชว์ก็ไม่เคยทำให้ค่ายรถผิดหวังเพราะแต่ละค่ายต่างโกยยอดขายกันเป็นกอบเป็นกำหลังจบงาน
ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo เปลี่ยนช่วงล่างด้วย
ดูเหมือนว่าทุกปีค่ายรถที่ทำยอดขายมากสุดคือ “โตโยต้า” แน่นอนปีนี้ก็คงไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของไทยที่นำรถยนต์แต่ละรุ่นมาสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย บวกกับแคมเปญและชื่อเสียงของโตโยต้าที่อยู่ในตลาดเมืองไทยมานานย่อมสร้างความมั่นใจไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
สำหรับปีนี้นอกจากจะมีรถต้นแบบอย่าง A-BAT และ 1/ X แล้วโตโยต้ายังมี พรีอุส ไฮบริด เวอร์ชันล่าสุด มาโชว์ให้คนไทยน้ำลายหกอีกรอบแต่ก็ยังไม่ยอมใจอ่อนขายสักทีปล่อยให้เกรย์มาร์เก็ตฟันยอดกันอย่างสบายใจ แต่ทีเด็ดของโตโยต้าในงานมอเตอร์โชว์อยู่ที่รุ่นพิเศษใน 2 รุ่นหลัก คือ โคโรลล่า อัลติส รุ่น 1.6 SS-I ตกแต่งแบบสปอร์ต และฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo และ APERTO โดยทั้งสองรุ่นนี้ “พิธานพาณิชย์” ดีลเลอร์ของโตโยต้า ได้ลงข้อมูลของรถทั้ง 2 รุ่นอย่างละเอียดในเว็ปไซต์ของตนเอง www.phithan-toyota.com
เบาะัหนังลาย TRD และแผงเคฟล่าร์
โดยในเว็ปไซต์บอกว่าโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ รุ่น 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยสเกิร์ตด้านหน้า ด้านหลัง และสปอยเลอร์หลัง กระจังหน้า แนวนอนสีขาวพร้อมโครเมี่ยม ไฟท้าย LED แบบเลนส์ไส ล้ออัลลอยด์ 15’สี smoke chrome พร้อมยาง 195/65R15 คิ้วกันกระแทกด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ โลโก้ “SS-I ” บริเวณฝากระโปรงท้ายด้านซ้าย ภายในพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน หัวเกียร์หุ้มหนังและฐานเกียร์ลายไม้ดำพร้อมขอบโครเมี่ยมแผงคอนโซลกลางสี Mettallic พร้อมลายไม้สีดำ สีภายในสีดำ/เบจ และเบาะหนังทูโทนสีเบจ/ดำ สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 829,000 บาท มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 900 คัน และมีเฉพาะสีขาวเท่านั้น
ฟอร์จูนเนอร์ Aperto
ส่วนโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo นำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาตกแต่งพิเศษด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ของสำนักแต่ง TRD ทั้งสเกิร์ตหน้า-หลัง สปอยเลอร์หลัง ล้อแม็กอัลลอย 18 นิ้ว ยาง 265/60R18 พร้อมโลโก้ TRD เด่นด้วยป้ายสติกเกอร์ชื่อ TRD Sportivo ประตูรถด้านหลัง 2 ข้างและท้ายรถส่วนช่วงล่างใช้โช้คอัพและคอยล์สปริงจาก TRD Sportivo
ด้านการตกแต่งภายในมีชุดเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2 Din สีภายในห้องโดยสารแบบทูโทน สีดำและครีม Sand Beige เบาะหุ้มหนังแบบเจาะรูพร้อมปั้มลาย TRD Sportivo ,ที่เท้าแขนคอนโซลกลางหุ้มหนัง,หัวเกียร์ A/T และหัวเกียร์เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนหุ้มหนังแบบเจาะรู ขณะที่คอนโซลกลาง,แผงครอบแป้นเกียร์,พวงมาลัย และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า หุ้มลายสปอร์ตเคฟลาร์ทั้งหมด
แตกต่างจากฟอร์จูนเนอร์รุ่น APERTO ที่จะนำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเสริมความบันเทิงด้วยการติดตั้งเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2Din พร้อมจอLCD ขนาด 8.5 นิ้วบนเพดานห้องโดยสารและเพิ่มช่องเสียบต่ออุปกรณ์ AUX และ USB รองรับอุปกรณ์ด้านความบันเทิงแบบครบถ้วน
ฟอร์จูนเนอร์ทั้ง 2 รุ่นจะผลิตจำหน่ายเฉพาะสีขาวเท่านั้น โดยรุ่น TRD Sportivo ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 1,600 คัน และเริ่มรับจองเฉพาะช่วงเดือนมี.ค.-ต.ค. 2552 และรุ่น APERTO ผลิตเพียง 800 คัน รับจองระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ย. 2552 ส่วนราคายังไม่เปิดเผยในขณะนี้
โคโรลล่า SS-I
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 เวอร์ชันให้เลือกคือ ยาริส และวีออส โดยรุ่นแรกมีการปรับเปลี่ยนกันชนหน้าและหลังให้กว้างขึ้น กระจังหน้าลายใหม่ ดีไซน์เรียว โคมไฟหน้าใหม่ใหญ่กว่าเดิม เพิ่มไฟเลี้ยวกระจกมองข้างโคมไฟหลังดีไซน์ใหม่อินเทรนด์ด้วยไฟเลี้ยวสีส้มและเลนส์ไฟตัดหมอกหลังแบบใส ล้ออัลออยใหม่ลาย 8 ก้านขนาด 15 นิ้ว และสเกิร์ตหน้า-หลังใหม่ (เฉพาะรุ่น S Ltd)
ส่วนภายในพวงมาลัย 3 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ความปลอดภัยที่แฝงมาพร้อมความสะดวกสบาย,ช่องต่อสาย AUX, ผ้าเบาะลายใหม่ เพิ่มความอเนกประสงค์มากขึ้นด้วย ช่องเก็บของด้านข้างประตู ถาดใส่ของอเนกประสงค์ใต้คอนโซดด้านคนขับ ช่องเก็บของอเนกประสงค์บริเวณคอนโซลกลาง ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลท้ายพร้อมที่วางแก้วด้านหลังกล่องเก็บของเหนือพวงมาลัยกล่องเก็บของลิ้นชักบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า รวมสิ่งที่เปลี่ยนทั้งหมดกว่า 20 จุด ราคาเริ่มต้นที่ 539,000-714,000 บาท
ยาริส ไมเนอร์เชนจ์
ขณะที่วีออสได้เปิดตัวรุ่นพิเศษไปก่อนหน้านี้ คือ VIOS GT Street สปอร์ตเข้มเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแนวสปอร์ต โดยปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวด้วยสเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบ สแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต
ส่วนภายในใช้สีโทนสีแดงดำที่ให้ความรู้สึกเร้าใจ ทั้งผ้าเบาะสีแดงกับสีดำรวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง และคอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง อย่างไรก็ตาม วีออส จีที มีค่าตัวอยู่ที่ 579,000 บาท และผลิตเพียงแค่ 1,000 คันเท่านั้น
ทั้งหมดจะเป็นทีเด็ดของค่ายโตโยต้าในกระตุ้นตลาดช่วงงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ส่วนผู้บริโภคจะตอบรับมากแค่ไหนก็ต้องมาลุ้นกัน
* รับบัตรเข้าชมงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 (มูลค่าใบละ 100 บาท) ฟรี จำกัดจำนวนท่านละ 5 ใบ ติดต่อ 0-2629-4488 โดยแจ้งชื่อและนำบัตรประชาชนมารับ (บัตรมีจำนวนจำกัด)
ที่มา : manager ออนไลน์
ข่าวในประเทศ - โตโยต้า เผยทีเด็ดเวอร์ชันพิเศษสองรุ่นหลัก “โคโรลลา อัลติส และฟอร์จูนเนอร์” หวังทำยอดขายช่วงงาน “มอเตอร์โชว์” ปลายเดือนนี้ โดยดีลเลอร์ใหญ่ “พิธานพาณิชย์” ปล่อยภาพและรายละเอียดเรียกน้ำย่อยก่อนพบคันจริง สำหรับ “โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตทั้งภายใน-ภายนอก สนนราคา ที่ 829,000 บาท ส่วนฟอร์จูนเนอร์มีให้เลือก 2 เวอร์ชัน โดยรุ่น TRD Sportivo เน้นการตกแต่งพิเศษเช่นกัน รุ่น APERTO เน้นความบันเทิงแก่ผู้โดยสาร ทุกรุ่นผลิตจำนวนจำกัดและมีสีขาวเท่านั้น ส่วนราคายังไม่เคาะ ขณะเดียวกันยังนำ “ยาริส-วีออส” มาแต่งพิเศษเอาใจขาโจ๋ที่ชอบรถไม่ธรรมดา
ชุดตกแต่ง TRD
แม้อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตชนิดแบบไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอยู่นั้น ด้านตลาดรถยนต์เมืองไทยก็ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ใหญ่ของโลกเพราะผลลัพธ์ที่ได้ส่งผลให้ผู้บริหารกุมขมับกันทุกราย สังเกตุจากยอดขายรถยนต์ช่วงเดือนแรกของปี 2552 ที่ตกลงมาถึง 30% ทั้งค่ายเล็กและค่ายใหญ่
แต่ใครละจะหยุดนิ่งทุกค่ายต่างดิ้นร้นเพื่อความอยู่รอดจึงไม่แปลกที่จะเห็นว่าในช่วงนี้ค่ายรถยนต์ต่างทยอยเปิดตัวรถใหม่กันเป็นว่าเล่นและต่างคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในไตรมาส2 มิให้ตกลงไปมากกว่านี้ ที่สำคัญยังมีเวทีให้ลงเล่น โดยเฉพาะยอดขายสามารถสร้างได้ในพริบตาหากสินค้าโดนใจ
“มอเตอร์โชว์” หรือ “ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2552 จึงกลายเป็นเวทีที่ค่ายรถอาศัยในการสร้างยอดขายจากรถรุ่นใหม่ รุ่นปรับโฉม และที่ผ่านมางานมอเตอร์โชว์ก็ไม่เคยทำให้ค่ายรถผิดหวังเพราะแต่ละค่ายต่างโกยยอดขายกันเป็นกอบเป็นกำหลังจบงาน
ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo เปลี่ยนช่วงล่างด้วย
ดูเหมือนว่าทุกปีค่ายรถที่ทำยอดขายมากสุดคือ “โตโยต้า” แน่นอนปีนี้ก็คงไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของไทยที่นำรถยนต์แต่ละรุ่นมาสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย บวกกับแคมเปญและชื่อเสียงของโตโยต้าที่อยู่ในตลาดเมืองไทยมานานย่อมสร้างความมั่นใจไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
สำหรับปีนี้นอกจากจะมีรถต้นแบบอย่าง A-BAT และ 1/ X แล้วโตโยต้ายังมี พรีอุส ไฮบริด เวอร์ชันล่าสุด มาโชว์ให้คนไทยน้ำลายหกอีกรอบแต่ก็ยังไม่ยอมใจอ่อนขายสักทีปล่อยให้เกรย์มาร์เก็ตฟันยอดกันอย่างสบายใจ แต่ทีเด็ดของโตโยต้าในงานมอเตอร์โชว์อยู่ที่รุ่นพิเศษใน 2 รุ่นหลัก คือ โคโรลล่า อัลติส รุ่น 1.6 SS-I ตกแต่งแบบสปอร์ต และฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo และ APERTO โดยทั้งสองรุ่นนี้ “พิธานพาณิชย์” ดีลเลอร์ของโตโยต้า ได้ลงข้อมูลของรถทั้ง 2 รุ่นอย่างละเอียดในเว็ปไซต์ของตนเอง www.phithan-toyota.com
เบาะัหนังลาย TRD และแผงเคฟล่าร์
โดยในเว็ปไซต์บอกว่าโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ รุ่น 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยสเกิร์ตด้านหน้า ด้านหลัง และสปอยเลอร์หลัง กระจังหน้า แนวนอนสีขาวพร้อมโครเมี่ยม ไฟท้าย LED แบบเลนส์ไส ล้ออัลลอยด์ 15’สี smoke chrome พร้อมยาง 195/65R15 คิ้วกันกระแทกด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ โลโก้ “SS-I ” บริเวณฝากระโปรงท้ายด้านซ้าย ภายในพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน หัวเกียร์หุ้มหนังและฐานเกียร์ลายไม้ดำพร้อมขอบโครเมี่ยมแผงคอนโซลกลางสี Mettallic พร้อมลายไม้สีดำ สีภายในสีดำ/เบจ และเบาะหนังทูโทนสีเบจ/ดำ สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 829,000 บาท มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 900 คัน และมีเฉพาะสีขาวเท่านั้น
ฟอร์จูนเนอร์ Aperto
ส่วนโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo นำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาตกแต่งพิเศษด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ของสำนักแต่ง TRD ทั้งสเกิร์ตหน้า-หลัง สปอยเลอร์หลัง ล้อแม็กอัลลอย 18 นิ้ว ยาง 265/60R18 พร้อมโลโก้ TRD เด่นด้วยป้ายสติกเกอร์ชื่อ TRD Sportivo ประตูรถด้านหลัง 2 ข้างและท้ายรถส่วนช่วงล่างใช้โช้คอัพและคอยล์สปริงจาก TRD Sportivo
ด้านการตกแต่งภายในมีชุดเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2 Din สีภายในห้องโดยสารแบบทูโทน สีดำและครีม Sand Beige เบาะหุ้มหนังแบบเจาะรูพร้อมปั้มลาย TRD Sportivo ,ที่เท้าแขนคอนโซลกลางหุ้มหนัง,หัวเกียร์ A/T และหัวเกียร์เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนหุ้มหนังแบบเจาะรู ขณะที่คอนโซลกลาง,แผงครอบแป้นเกียร์,พวงมาลัย และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า หุ้มลายสปอร์ตเคฟลาร์ทั้งหมด
แตกต่างจากฟอร์จูนเนอร์รุ่น APERTO ที่จะนำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเสริมความบันเทิงด้วยการติดตั้งเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2Din พร้อมจอLCD ขนาด 8.5 นิ้วบนเพดานห้องโดยสารและเพิ่มช่องเสียบต่ออุปกรณ์ AUX และ USB รองรับอุปกรณ์ด้านความบันเทิงแบบครบถ้วน
ฟอร์จูนเนอร์ทั้ง 2 รุ่นจะผลิตจำหน่ายเฉพาะสีขาวเท่านั้น โดยรุ่น TRD Sportivo ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 1,600 คัน และเริ่มรับจองเฉพาะช่วงเดือนมี.ค.-ต.ค. 2552 และรุ่น APERTO ผลิตเพียง 800 คัน รับจองระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ย. 2552 ส่วนราคายังไม่เปิดเผยในขณะนี้
โคโรลล่า SS-I
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 เวอร์ชันให้เลือกคือ ยาริส และวีออส โดยรุ่นแรกมีการปรับเปลี่ยนกันชนหน้าและหลังให้กว้างขึ้น กระจังหน้าลายใหม่ ดีไซน์เรียว โคมไฟหน้าใหม่ใหญ่กว่าเดิม เพิ่มไฟเลี้ยวกระจกมองข้างโคมไฟหลังดีไซน์ใหม่อินเทรนด์ด้วยไฟเลี้ยวสีส้มและเลนส์ไฟตัดหมอกหลังแบบใส ล้ออัลออยใหม่ลาย 8 ก้านขนาด 15 นิ้ว และสเกิร์ตหน้า-หลังใหม่ (เฉพาะรุ่น S Ltd)
ส่วนภายในพวงมาลัย 3 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ความปลอดภัยที่แฝงมาพร้อมความสะดวกสบาย,ช่องต่อสาย AUX, ผ้าเบาะลายใหม่ เพิ่มความอเนกประสงค์มากขึ้นด้วย ช่องเก็บของด้านข้างประตู ถาดใส่ของอเนกประสงค์ใต้คอนโซดด้านคนขับ ช่องเก็บของอเนกประสงค์บริเวณคอนโซลกลาง ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลท้ายพร้อมที่วางแก้วด้านหลังกล่องเก็บของเหนือพวงมาลัยกล่องเก็บของลิ้นชักบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า รวมสิ่งที่เปลี่ยนทั้งหมดกว่า 20 จุด ราคาเริ่มต้นที่ 539,000-714,000 บาท
ยาริส ไมเนอร์เชนจ์
ขณะที่วีออสได้เปิดตัวรุ่นพิเศษไปก่อนหน้านี้ คือ VIOS GT Street สปอร์ตเข้มเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแนวสปอร์ต โดยปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวด้วยสเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบ สแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต
ส่วนภายในใช้สีโทนสีแดงดำที่ให้ความรู้สึกเร้าใจ ทั้งผ้าเบาะสีแดงกับสีดำรวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง และคอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง อย่างไรก็ตาม วีออส จีที มีค่าตัวอยู่ที่ 579,000 บาท และผลิตเพียงแค่ 1,000 คันเท่านั้น
ทั้งหมดจะเป็นทีเด็ดของค่ายโตโยต้าในกระตุ้นตลาดช่วงงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ส่วนผู้บริโภคจะตอบรับมากแค่ไหนก็ต้องมาลุ้นกัน
* รับบัตรเข้าชมงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 (มูลค่าใบละ 100 บาท) ฟรี จำกัดจำนวนท่านละ 5 ใบ ติดต่อ 0-2629-4488 โดยแจ้งชื่อและนำบัตรประชาชนมารับ (บัตรมีจำนวนจำกัด)
ที่มา : manager ออนไลน์
2.1.09
Maneuver the BMW safely
Maneuver the BMW safely
by Janice Walker
A vehicle has several mirrors. The reflective mirrors are auto parts that allow the driver to easily and safely maneuver the four-wheel machine. The German automaker BMW, which stands for Bavarian Motor Works, gears efficient BMW Mirrors to ensure that its vehicles get the optimum safe car operation.There are different kinds of BMW Mirrors, which include the basic side-view mirrors and the rear-view mirrors.
These vital BMW parts are well-designed and well-manufactured to aid properly the driver in changing lanes, reversing, and parking. Since these mirrors help in maneuvering the vehicle properly, road accidents could also be prevented.The frequently used mirrors are the side-view mirrors. These aid the operator to see the approaching vehicles coming from the sides.
Moreover, these auto parts allow the driver to see and estimate the space or distance of the his or her vehicle from other automobiles. In parking the car, the side-view mirrors are also helpful in determining if there is just enough distance between the car and nearby automobiles as well as other objects. The rear-view mirrors, on the other hand, are also helpful while driving or parking.
A rear-view is mounted at the windscreen on a swivel mount and the operator can look at it while backing up. Bigger-built automobiles, however, are sometimes equipped with another mirror, which is installed outside the rear window, called the back mirror.Older automobiles' mirrors need to be manually adjusted, while modern makes, like what BMW offers, are equipped with the power mirrors.
A window console is situated at the driver's area and with just a push of a button or two, the side-view mirrors can be easily adjusted to suit the driver's need. This innovation helps the operator get the precise position of the side-view mirrors even while seated. As vital parts of the vehicle, the BMW Mirrorshave to be well-taken care of to continuously enjoy maneuvering the automobile with much ease and more importantly, with the utmost safety.
by Janice Walker
A vehicle has several mirrors. The reflective mirrors are auto parts that allow the driver to easily and safely maneuver the four-wheel machine. The German automaker BMW, which stands for Bavarian Motor Works, gears efficient BMW Mirrors to ensure that its vehicles get the optimum safe car operation.There are different kinds of BMW Mirrors, which include the basic side-view mirrors and the rear-view mirrors.
These vital BMW parts are well-designed and well-manufactured to aid properly the driver in changing lanes, reversing, and parking. Since these mirrors help in maneuvering the vehicle properly, road accidents could also be prevented.The frequently used mirrors are the side-view mirrors. These aid the operator to see the approaching vehicles coming from the sides.
Moreover, these auto parts allow the driver to see and estimate the space or distance of the his or her vehicle from other automobiles. In parking the car, the side-view mirrors are also helpful in determining if there is just enough distance between the car and nearby automobiles as well as other objects. The rear-view mirrors, on the other hand, are also helpful while driving or parking.
A rear-view is mounted at the windscreen on a swivel mount and the operator can look at it while backing up. Bigger-built automobiles, however, are sometimes equipped with another mirror, which is installed outside the rear window, called the back mirror.Older automobiles' mirrors need to be manually adjusted, while modern makes, like what BMW offers, are equipped with the power mirrors.
A window console is situated at the driver's area and with just a push of a button or two, the side-view mirrors can be easily adjusted to suit the driver's need. This innovation helps the operator get the precise position of the side-view mirrors even while seated. As vital parts of the vehicle, the BMW Mirrorshave to be well-taken care of to continuously enjoy maneuvering the automobile with much ease and more importantly, with the utmost safety.
Subscribe to:
Posts (Atom)