21.9.12

Mazda 2 Minorchange รุ่นปี 2012 และ New Mazda 3

นาน ๆ ครั้งที่ Mazda เปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นใหม่พร้อมกันถึง 2 รุ่นในคราเดียว แล้ววันนี้ ( 22 พฤษภาคม 2012) พวกเขาก็
ได้จัดงานเปิดตัว Mazda 2 Minorchange รุ่นปี 2012 และเพิ่มรุ่นให้กับ All New Mazda 3 ด้วยเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรที่
หลายคนรอคอย

เริ่มจากการแนะนำ All New Mazda 3 รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาด C-Car ที่ Mazda
ครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร (ชนิดที่ลูกค้าทุกท่านไม่เคยทราบมาก่อน) ด้วยสัดส่วนการตลาดใน
กลุ่มเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรมีมากถึง 40% เหนือกว่า Toyota Corolla Altis, Honda Civic, Ford Focus และ
Mitsubishi Lancer EX

alt

แต่เนื่องจากกลุ่มลูกค้า C-Car ระดับ 1,600-1,800 ซีซีมีสัดส่วนการตลาดสูงที่สุดทำให้ Mazda จำเป็นต้องขยายตลาด
นั่นหมายความว่าจะต้องทำยอดขาย Mazda 3 โฉมใหม่ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าที่มีความคาดหวัง
ค่อนข้างสูง ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์ สมรรถนะการขับขี่ ความคุ้มค่าคุ้มราคา อุปกรณ์ที่เพิ่มความหรูหรา
สะดวกสบาย คุณภาพของวัสดุที่นำมาประกอบ และระบบความปลอดภัยที่มีให้มากพอตามความต้องการ รวมถึงความ
ประหยัดทั้งค่าบำรุงดูแลรักษาและการประหยัดน้ำมัน และมีระดับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย



จุดเด่นของ Mazda 3 เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร คือ ความสวยงามของดีไซน์ ความสปอร์ต ซึ่งแตกต่างมาจากรถในกลุ่มคอม
แพ็คที่มักเน้นแต่ความหรูหราเพียงอย่างเดียว ทำให้เป็นจุดขายที่โดนใจลูกค้าที่เน้นรถสปอร์ตพรีเมี่ยมจนทำให้ยอดขาย
Mazda 3 รุ่นใหม่มียอดขายสูงขึ้นและเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยที่น่าจะทำให้ Mazda 3 1.6 ลิตรรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ แนวทางการออกแบบแบบฉบับ Mazda
ยังคงเน้นไปที่รูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตสวยงามสะดุดทุกสายตา สะท้อนภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชม บ่งบอกสถานะทาง
สังคมที่เป็นที่ยอมรับ และมีบุคลิกความเป็นตัวของตัวเองอย่างเด่นชัด นอกจากแพ็คเกจภายนอก-ภายในที่โดดเด่นแล้วยัง
มาพร้อมกับสมรรถนะของการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจตามสไตล์ ซูม-ซูม ของมาสด้า รวมถึงอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มั่นใจ
ได้ ฟังก์ชั่นการใช้งานครบครันและคุ้มค่า



อุปกรณ์เสริมความสะดวกสบายต่างๆ มากมาย เบาะนั่งหนังทรงสปอร์ตบัคเก็ตซีท (Sport Bucket Seat) มาพร้อมระบบ
ปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้ายขวา ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ 4-Beam พร้อมไฟตัดหมอกแต่งด้วยดีฟิวเซอร์ หน้าจอ
แสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) พร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย ล้ออัลลอยด์ลายสปอร์ต 16 นิ้ว
วัสดุที่ใช้เน้นคุณภาพและความหรูหรา รวมถึงวัสดุที่เลือกใช้เหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่
ทันสมัยและการลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นบนตัวรถ

คันต่อมา Mazda 2 Minorchange รุ่นปี 2012 ก็ปรับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ตนเองโดดเด่นในตลาด
B-Car ได้อย่างยั่งยืนซึ่งถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องเลยทีเดียว Mazda 2 รุ่นปรับโฉมปี 2012 จะปรับอุปกรณ์มาตรฐาน
ในระดับ “Best in Class” ให้คุณค่าและความคุ้มค่าเหนือกว่าใคร



ภาพลักษณ์ Mazda 2 รุ่นปรับโฉมปี 2012 จะมุ่งสู่ความสปอร์ตเต็มพิกัดเพื่อให้โดดเด่นกว่าภาพลักษณ์รถยนต์ B-Car
คู่แข่งที่ยังมีภาพลักษณ์ธรรมดา ๆ เรียบง่ายหรือสปอร์ตหรูผสมกัน นั่นจึงทำให้ Mazda ติดตั้งโคมไฟหน้าแบบฮาโลเจน
4-Beam โปรเจคเตอร์, ล้ออัลลอยด์สปอร์ตลายใหม่ ขนาด 16 นิ้ว, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง สีตัวถังก็ได้เพิ่มสีใหม่สองสี
ได้แก่ สีฟ้าอควาติกบลู และสีขาวอาร์คติกไวท์



การตกแต่งภายในห้องโดยสารก็แทบจะยกชุดจากเวอร์ชันยุโรป ได้แก่ แผงมาตรวัดดีไซน์ใหม่สีดำสปอร์ต เบาะและแผง
ประตูหุ้มหนัง เบาะผ้าลายใหม่ วิทยุ ซีดี เอ็มพี3 พร้อมตกแต่งด้วยสีดำเปียโนแบล็ก แผงสวิตช์ควบคุมที่พวงมาลัยดีไซน์
ใหม่ ช่องเชื่อมต่อ USB/AUX และยังตอกย้ำอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าและ ABS/EBD ทุก
รุ่น



ส่วนพรีเซนเตอร์หมดห่วงยังคงใช้บริการดาราชั้นนำชุดเดิม ณเดชน์ คูกิมิยะ สำหรับ Mazda 2 Elegance ตัวถังซี
ดานและ เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ สำหรับ Mazda 2 Sports ตัวถังแฮทช์แบค

ราคาจำหน่าย

Mazda3 1.6L Groove ซีดาน 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะผ้า
ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว ราคาจำหน่าย 755,000 บาท

Mazda3 1.6L Spirit ซีดาน 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะผ้า
ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ราคาจำหน่าย 825,000 บาท

Mazda3 1.6 Spirit Sports แฮ็ชต์แบ็ค 5 ประตู เกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะแอคทีฟเมติค ภายในสีดำ เบาะหุ้มหนังสีดำ
ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว ราคาจำหน่าย 869,000 บาท


Mazda2 Sports Hatchback

Groove MT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 550,000 บาท

Groove AT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 585,000 บาท

Spirit AT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 654,000 บาท

Maxx Sports เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 705,000 บาท

Mazda2 Elegance Sedan

Groove MT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 550,000 บาท

Groove AT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 15 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 579,000 บาท

Spirit AT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 646,000 บาท

Maxx AT เครื่องยนต์ MZR 1500 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน S-VT ล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว
ราคาจำหน่าย 705,000 บาท

คุณผู้อ่านทุกท่านสามารถแวะเข้าโชว์รูม Mazda ทั่วประเทศได้แล้ววันนี้ครับ


 

 

Nissan Sylphy Sedan

วันนี้ 30 สิงหาคม 2012 Nissan Motor ประเทศไทยได้ฤกษ์เปิดตัว Nissan Sylphy เจเนเรชั่นที่ 3 ของตลาดโลก ถือ
เป็นการเปิดตัวลำดับที่ 2 ตามหลังตลาดจีนไปในช่วงเดือนเมษายน 2012 (พร้อมส่งมอบเดือนมิถุนายน 2012) และถือ
เป็นการเปิดตัวตัดหน้าตลาดอเมริกาเหนืออย่างฉิวเฉียดกันเลยทีเดียว

ความจริงแล้ว Nissan Sylphy ก็เคยบุกมาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2000 ด้วย อย่าเพิ่งงุนงงกันครับ
เพราะตอนนั้น สยามกลการ (ผู้แทนจำหน่าย Nissan ในประเทศก่อนที่จะถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัทแม่) ได้ตัดสินใจ
เดินหน้าผลิต Nissan Bluebird Sylphy (ปัจจุบันเหลือแต่เพียงชื่อ Sylphy) มาสวมชื่อ Sunny Neo เพราะตัวแทน
จำหน่ายหลายประเทศในเอเชียในสมัยนั้นลงมติกันว่าสมควรนำรูปโฉม Bluebird Sylphy มาผลิตแทนที่ Nissan Sunny
B15 จะดีกว่ามาก ๆ

alt

Nissan Sylphy เจเนเรชั่นใหม่สำหรับตลาดเมืองไทยชูจุดเด่นรถยนต์นั่งระดับกลางที่มีรูปลักษณ์ในแนวหรูหราพรีเมี่ยม,
ห้องโดยสารกว้างขวางหรูหรา, ตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ, ประหยัดน้ำมัน, ราคาจำหน่ายเหมาะสม สำหรับตลาดโลก
นั้น Nissan Sylphy ก็ยังมีแนวคิดการทำตลาดคล้ายกับเมืองไทยคือจับกลุ่มลูกค้าที่มีความเฉลียวฉลาด มองหาห้อง
โดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย สมรรถนะในการขับขี่ที่ดี และต้องประหยัดน้ำมัน

แนวคิดการพัฒนา Nissan Sylphy (หรือ Sentra สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ) ในระดับโลก
มร. โทรุ โคมิโซ หัวหน้าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท Nissan Motor จำกัด ได้กล่าวว่า “เราจะถามตัวเองเสมอว่า ใน
ฐานะผู้ขับขี่ จุดเด่นต่างๆ จะใช้งานได้จริงหรือไม่ ซึ่งรถคันนี้จะต้องมีทั้งคุณภาพและจุดเด่นต่าง ๆ ที่สมดุลและสามารถ
ดึงดูดลูกค้าได้ โดยเราตอบโจทย์นี้ด้วยการ นำขึ้นอีกครึ่งก้าว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเนื้อที่ห้องโดยสารเบาะหลัง และความ
เงียบของห้องโดยสารให้เทียบเท่ากับรถยนต์นั่งระดับหรูขนาดใหญ่ ส่วนด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของ Nissan Sylphy
นั้นอยู่ในระดับเดียวกับรถยนต์รุ่นซับคอมแพคท์ (B-Segment) เลยทีเดียว”



หัวหน้าวิศวกรผลิตภัณฑ์ บริษัท Nissan Motor จำกัด มร. เคนนิจิ มิโยชิ ให้ความเห็นว่า “เรามีแนวทางในการพัฒนา
รถยนต์คันนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ คุณภาพสูง และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ในแต่ละตลาดที่
แตกต่างกันได้ ดังนั้นเราจึงต้องสร้างรูปแบบที่เป็นสากล แต่อาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการ
ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ถึงแม้ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งระดับกลาง แต่เราต้องการให้ลูกค้าได้ใช้รถที่มีคุณภาพสูงกว่า
ระดับกลางทั่วไป”

ส่วนแนวคิดในการออกแบบ มร. คินอิจิ ไซโต หัวหน้าฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้กล่าวว่า “เราต้องการให้รถยนต์รุ่นนี้เป็น
รถคุณภาพสูง ดูหรูหราโดยธรรมชาติ สิ่งสำคัญคือ ส่วนหน้ารถโดยเฉพาะไฟหน้า เป็นครั้งแรกที่เราใช้หลอดไฟ LED เรา
ต้องการให้เกิดการสื่อสารผ่านไฟหน้าที่เปรียบเสมือนดวงตา และหากเรามองจากทางด้านข้าง จะสังเกตุเห็นส่วนที่นูนออก
จากกันชนด้านหน้าและยาวต่อเนื่องไปยังด้านข้างและไฟท้าย ที่เราต้องการสื่อความรู้สึกของความพริ้วไหวของลายเส้น
ดังกล่าว”

Nissan Motor ตั้งเป้าจำหน่าย Nissan Sylphy/Sentra ในระดับโลกรวม 550,000 คันจาก 120 ประเทศทั่วโลก

ภายในปี 2014



จุดขายหลักของ Nissan Sylphy เวอร์ชันตลาดไทย

1) ดีไซน์ที่ดูหรูหราคล้ายกับรถ D-Segment
- Nissan Sylphy ถูกออกแบบให้มีความสมดุลมากขึ้น แลดูสง่างามโดยมีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับ
รถยนต์ในระดับเดียวกัน และยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำเพียง
0.29 ส่งผลดีต่อสมรรถนะที่ดีขึ้นและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ
- ขยายพื้นที่บริเวณกระจกหน้า เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ กันชนขนาดใหญ่และกระจังหน้าพร้อมช่องระบาย
อากาศแบบรังผึ้งที่ออกแบบมาให้ดูมีมิติมากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยและช่วยควบคุมการถ่ายเทอากาศ
- ไฟหน้าแบบ Multi-reflector พร้อมไฟแบบ LED ที่ได้ติดตั้งทั้งในตำแหน่งไฟหรี่ด้านหน้า ชุดไฟท้าย ไฟเบรค
ดวงที่สาม และไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง และไฟอ่านแผนที่รวมรอบคัน 54 ดวง เพิ่มความ
- ห้องโดยสารภายในที่กว้างที่สุดเทียบเท่ารถยนต์นั่งหรูระดับกลาง (D-Segment) และพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถที่
มีขนาดความจุมาก 510 ลิตร ซึ่ง Nissan เคลมว่าใหญ่ที่สุดในระดับเดียวกันและเทียบเท่ารถยนต์นั่งหรูระดับใหญ่ พร้อม
ช่องกลางทะลุถึงห้องโดยสารด้านหลัง สะดวกสบายต่อการใช้งาน
- ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว และชุดโครเมียมบริเวณกระจังหน้า ที่เปิดประตูและด้านกระโปรงท้าย



2) ความสบายภายในห้องโดยสาร

- พื้นที่ภายในห้องโดยสารขนาดใหญ่ ช่วยให้เข้า - ออกห้องโดยสารได้สะดวกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

- สีภายในแบบเบจโทนใหม่ และบริเวณคอนโซลใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษ Micro-grain เพื่อ
ลดแสงสะท้อน ให้ความรู้สึกอบอุ่น พร้อม
บุวัสดุบุนุ่ม (soft pad)บริเวณด้านหน้าคอนโซลและด้านข้างประตู

- เบาะนั่งขนาดใหญ่ ใช้วัสดุหนัง ( ในรุ่น 1.8V Navi 1.8V และรุ่น 1.6V) พร้อมที่พักแขนและที่วางขวดหรือแก้วน้ำ
และพนักพิงศรีษะปรับระดับได้บริเวณที่นั่งด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกล มีพนักเท้า
แขนด้านหน้าพร้อมช่องเก็บของมีฝาสไลด์ปิด

- แผงคอนโซลด้านหน้าออกแบบให้ใช้ง่ายตามหลักสรีระศาสตร์หรือ Ergonomic design เพื่อสะดวกต่อการใช้
งานซึ่ง Nissan เคลมว่าได้แรงบันดาลจากปีกนางนวล

- แผงคอนโซลกลางตกแต่งด้วยชุดลายไม้ (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) เพิ่มความหรูหรา และชุดเมทัลลิก
ให้ดูโฉบเฉี่ยว (ในรุ่น 1.6E และ 1.6S ลิตร)

- พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นแบบ 3 ก้าน ปรับได้ 4 ทิศทางหุ้มหนัง (ในรุ่น1.8V Navi 1.8V และ 1.6 V) สไตล์สปอร์ต
พร้อมระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) และเพิ่มความสะดวกสบายกับสวิทซ์ควบคุมเครื่องเสียงและหน้าจอ MID ที่พวงมาลัย
และระบบควบคุมเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) เพื่อความปลอดภัย

- แผงหน้าปัดเรืองแสง (Fine Vision Meter) ขนาดใหญ่พร้อมจอแสดงข้อมูล Multi Information Display
ในทุกรุ่น เพื่อแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งในแบบใช้จริง และเฉลี่ย/ชั่วโมง มาตรวัดระยะทางย่อยและ
ระยะทางรวม สะดวกต่อการใช้งาน



- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมแยกปรับอุณหภูมิอิสระได้ซ้าย –ขวา และระบบช่องแอร์ด้านหลังสำหรับ
ผู้โดยสารด้านหลัง (เฉพาะรุ่น 1.8V Navi 1.8 V และ 1.6 V)

- ชุดเครื่องเสียงแบบ Built-in ลำโพง 6 ตัว พร้อมหน้าจอสีขนาด 4.3นิ้วในรุ่น1.8 V เล่นซีดี 1 แผ่นและเครื่องเล่น
MP3 และช่องต่อ AUX และอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB บริเวณช่องเก็บของ

- สำหรับรุ่น 1.8V Navi เพิ่มเติมระบบนำทาง Navigation system บนหน้าจอ 5.8นิ้ว สะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่น
การค้นหาสถานที่

- กล้องมองหลัง (เฉพาะรุ่น 1.8V และ 1.8V Navi) มองได้ไกลถึงสามเมตร เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

- ระบบกุญแจอัจริยะ Intelligent key พร้อมปุ่มเปิดท้ายรถและระบบ Immobilizer และ Panic alarm กระจก
มองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ

- และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push start button



3) เทคโนโลยีเพื่อความคุ้มค่าและความปลอดภัย (Clever Efficiency)
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ใหม่ รหัส MRA8DE ที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการเพิ่มช่วงชักกระบอกสูบ
ผสานไปกับการทำงานของระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously-Variable Timing Control) เพิ่ม
ระยะชักกระบอกสูบให้ยาวขึ้นทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย เพื่อให้การเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเคลือบแข็งระบบสปริงวาล์ว
Diamond-like carbon coating ช่วยลดน้ำหนัก แรงเสียดทานและแรงเฉื่อยของวาล์ว เสริมประสิทธิภาพการทำงาน
ของเครื่องยนต์ เงียบขึ้นและประหยัดน้ำมันมากขึ้น Nissan เคลมว่าจะประหยัดกว่าเดิม 14%

ความจุกระบอกสูบ : 1,798 ซีซี
แรงม้าสูงสุด PS (กิโลวัตต์/รอบต่อนาที) : 131(96/6000)
แรงบิดสูงสุด นิวตัน-เมตร (กก-ม)/รอบต่อนาที : 174 (17.8)/3600
ระบบขับเคลื่อน : XTRONIC CVT

- เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว รหัส HR16DE ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ และได้ติดตั้งระบบวาล์วแปร
ผันคู่ Twin C-VTC (Twin Continuously Variable Timing Control) ผสานกับการทำงานของระบบหัวฉีดคู่ Dual
Injector System นับเป็นครั้งแรกในรถยนต์ระดับเดียวกัน เพื่อช่วยให้เกิดการเผาไหม้เกิดการเสถียรได้ดียิ่งขึ้น เพื่อ
สมรรถนะที่ดีกว่าและประหยัดน้ำมันสูงสุด โดย Nissan เคลมว่าประหยัดกว่ารุ่นเดิม (คาดว่า Sylphy 1.6 เจเนเรชั่นที่
แล้ว) ประมาณ 18%

ความจุกระบอกสูบ : 1,598 ซีซี
แรงม้าสูงสุด PS (กิโลวัตต์/รอบต่อนาที) : 116 (85/5600)
แรงบิดสูงสุด นิวตัน-เมตร (กก-ม)/รอบต่อนาที : 154 (15.7)/4000
ระบบขับเคลื่อน : MT/XTRONIC CVT

- ทุกเครื่องจะจับกับระบบเกียร์อัจฉริยะแปรผัน XTRONIC CVT เพื่อทุกการขับขี่ที่นุ่มนวล จากการพัฒนาระบบ
เกียร์ให้มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาลง แต่ให้อัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้น ตอบสนองทุกรูปแบบของการขับขี่และประหยัดน้ำมัน
มากขึ้น



- โครงสร้าง Zone Body Concept เอกสิทธิ์เฉพาะนิสสัน แข็งแกร่ง ทนทาน รองรับน้ำหนักและลดแรงกระแทกได้
อย่างดีเยี่ยม ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สัน สตรัท และระบบช่วงล่างด้านหลังทอร์ชั่น บีม พร้อมเหล็กกัน
โคลง ลดการสั่นสะเทือนทุกสภาพถนน ช่วยให้ทุกการขับขี่นุ่มนวล

- ระบบความปลอดภัย Safety Shield แนวคิดยานยนต์เพื่อความปลอดภัยจากนิสสัน ที่จะมอบความปลอดภัย
ให้กับผู้ขับขี่ก่อนที่ความเสี่ยงจะมาถึง นิสสัน ซิลฟี ใหม่ จึงมาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัยที่ให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบดิสก์เบรค 4 ล้อ ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED โดดเด่นชัดเจนในระยะไกล
เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS Airbags) ใน
ทุกรุ่นเพื่อลดความรุนแรงจากกการบาดเจ็บในกรณีที่เกิดแรงปะทะจากด้านหน้า ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) เพื่อ
ป้องกันล้อล็อคและลื่นไถลเมื่อต้องมีการเบรกกะทันหัน ระบบเสริมแรงเบรก (BA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ช่วย
ให้ระบบเบรกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเบรกลงได้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ และมั่นใจมากขึ้นกับระบบป้องกันการโจรกรรม
Immobilzer

คุณประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส การตลาดและขายแห่ง Nissan Motor ประเทศไทย
ได้เปิดเผยกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย Nissan Sylphy ว่า ทาง Nissan ได้จัดโรดโชว์อวดโฉม Sylphy ทั่วประเทศภายใน
เดือนกันยายน, เพิ่มตัวแทนจำหน่าย Nissan ทั่วประเทศให้ครบ 180 แห่งในช่วงสิ้นปีงบประมาณปี 2012 (และจะมีแผน
เปิดให้ครบ 210 แห่งในภายสิ้นปีงบประมาณปี 2013)

การสื่อสารทางการตลาดได้ใช้แนวคิด “ความสุนทรีย์ของการใช้ชีวิต” ตอกย้ำให้ลูกค้าทราบว่า Nissan Sylphy เป็น
รถยนต์ C-Segment ที่มีความหรูหรามากกว่ารถระดับเดียวกันจนเทียบเคียงกับรถที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ เพื่อให้การสื่อสาร
เข้าใจถึงกลุ่มลูกค้าที่มองรถระดับพรีเมี่ยม Nissan จึงได้ว่าจ้างสองพรีเซนเตอร์สุดร้อนแรงถึง 2 คน คือ ชมพู่ อารยา เอ
ฮาร์เก็ต และโป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาถ่ายทอดบุคลิก ตัวตนของผู้ที่ใช้รถยนต์รุ่นนี้คือ คนรุ่นใหม่ที่ประสบ
ความสำเร็จด้านอาชีพการทำงาน เป็นผู้ซื้อที่ฉลาด มองหาความโดดเด่นและความเหนือระดับ ความมีสุนทรียภาพของ
การใช้ชีวิต



Nissan Motor ยังขนแคมเปญในช่วงเปิดตัว Nissan Sylphy อย่างคับคั่งจนผิดวิสัยในรถระดับนี้ เริ่มจาก
Nissan เสนอเงื่อนไขทางการเงินโดย Nissan Leasing ดังต่อไปนี้
-อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%
-ผ่อนสบายกับโปรแกรม Easy Pay เริ่มต้นเดือนละ 7,999 บาท
-ดาวน์ขั้นต่ำ 29,999 บาท
-ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน

Nissan ยังเสนอแคมเปญพิเศษ Premium Package สำหรับผู้ที่จองรถยนต์ Nissan Sylphy ภายใน 31 ธันวาคม
2012 ได้แก่
-ใช้สิทธิ์ซื้อประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection ราคา 5,555 บาท
-ติดฟิล์มรอบคันจาก Lamina ฟรี
-พรมแท้คุณภาพสูงจาก Nissan ฟรี

และมาแปลกงานนี้ Nissan ถึงกับกล่าวรายละเอียดการสร้างความประทับใจในการบริการหลังการขายด้วยการชูจุดเด่น
ค่าบำรุงรักษาในระยะ 100,000 กิโลเมตรหรือ 60 เดือนเพียงแค่ 18,898 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์คู่แข่งก็จะมีค่า
บำรุงรักษามากกว่า 20,000 บาท

ราคาจำหน่ายเกรดต่าง ๆ
1.6 S MT ราคา 746,000 บาท
1.6 S CVT ราคา 776,000 บาท
1.6 E CVT ราคา 799,000 บาท
1.6 V CVT ราคา 833,000 บาท
1.8 V CVT ราคา 899,000 บาท
1.8 V CVT Navi ราคา 931,000 บาท

Nissan Motor ประเทศไทยได้ตั้งเป้ายอดจำหน่าย Nissan Sylphy Sedan ใหม่ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2012 จนถึง
เดือนมีนาคม 2013 (เดือนปิดปีงบประมาณประจำปี 2012) หรือตกประมาณเดือนละประมาณ 2,857 คัน และตั้งเป้า
พร้อมส่งมอบภายในสิ้นปี 2012 ที่ 10,000 คันหรือประมาณเดือนละ 2,500 คัน (เป้าจำหน่ายนี้ไม่รวมกับ Sylphy
Sport ตัวถัง 5 ประตูที่จะจำหน่ายต้นปี 2013)

Honda Jazz HYBRID 1.3 IMA CVT

ในที่สุด Honda Automobile (Thailand) ก็ได้ฤกษ์ เปิดตัว Honda Jazz HYBRID ออกสู่ตลาดเมืองไทย
อย่างเป็นทางการเสียที เมื่อช่วง บ่าย 2 โมงของวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2012 ถือเป็นการเปิดศักราช
การนำระบบขับเคลื่อนแบบ HYBIRD (เครื่องยนต์ + มอเตอร์ไฟฟ้า) มาติดตั้งลงในรถยนต์พิกัดขนาด
B-Segment หรือ Sub-Compact เป็นครั้งแรก และรายแรกในเมืองไทย

ราคาเริ่มต้นเพียง 768,000 บาทเท่านั้น!!!



มร. ชิงโกะ นากามิเนะ หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา Honda Jazz HYBRID จาก บริษัท Honda R&D จำกัด
ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า “เป้าหมายการพัฒนา Jazz HYBRID คือ การสร้างสรรค์รถยนต์ Sub-Compact ที่มี
ความลงตัวสำหรับการใช้งาน รวมถึงการปรับปรุงนวัตกรรมด้านเทคนิคและความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ในภาพรวม Honda Jazz HYBRID ได้ผสมผสาน 2 เทคโนโลยีที่มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร

ประการแรก เทคโนโลยีพื้นตัวถังที่มีการจัดวางถังน้ำมันไว้ตรงกลาง ซึ่งเริ่มมีการนำมาใช้ตั้งแต่ Honda
Jazz รุ่นแรก ประการที่สอง การออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดบางและชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะหรือ
IPU ที่มีขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบา ส่งผลให้ตัวรถสามารถตอบสนองพื้นที่ใช้สอยได้อย่างยอดเยี่ยม
Jazz HYBRID ได้รับการออกแบบโดยอิงแนวคิดเรียบ และล้ำสมัย (Advance & Clean) โดดเด่นด้วยการ
ออกแบบภายในห้องโดยสารเพื่อรองรับการใช้งานอเนกประสงค์ พร้อมพรั่งด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน และ
ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

สำหรับระบบขับเคลื่อน HYBRID ของรถรุ่นนี้ เป็นแบบคู่ขนาน (Parallel Hybrid) ที่ผสานการทำงาน
ของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์เป็นขุมพลังหลักในการขับเคลื่อน เนื่องจากรูปแบบ
ของระบบไฮบริดแบบคู่ขนานไม่ซับซ้อน จึงทำให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ซึ่งมีส่วนช่วยในการ
เพิ่มสมรรถนะการขับขี่และความประหยัดเชื้อเพลิง คงความสนุกในการขับขี่"

ชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ IPU ขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา จัดวางไว้บริเวณพื้นห้องเก็บสัมภาระ
ด้านหลังของตัวรถ ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของการจัดวางเบาะนั่งในรูปแบบเดียวกับแจ๊ซรุ่นเบนซิน ซึ่ง
สามารถปรับระดับได้หลากหลายรูปแบบ มีพื้นที่ใช้สอยตอบสนองการใช้งานและจัดเก็บสัมภาระได้
อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ได้คือ การสร้างสรรค์รถยนต์ Sub-Compact ขุมพลัง HYBRID ที่เพียบพร้อมด้วย
คุณค่าใหม่ออกสู่ตลาดในประเทศไทยในวันนี้”

ขุมพลังของ Jazz HYBRID ประกอบด้วย เครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1.3 ลิตร พร้อมระบบ
แปรผันวาล์ว i-VTEC กำลังสูงสุด 88 แรงม้า (ที่ 5,800 รอบ/นาที) และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ IMA
(Integrated Motor Assist) ให้กำลัง 14 แรงม้า (ที่ 1,500 รอบ/นาที) เครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงสุด
121 นิวตัน-เมตร (ที่ 4,500 รอบ/นาที) และมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร (ที่
1,000 รอบ/นาที)

โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะ
หยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียง
อย่างเดียว ซึ่งในขณะที่เครื่องยนต์เข้าสู่ EV Mode จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ออกมา ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไป
ในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้
ใช้งานต่อไป และเมื่อรถหยุด เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่
โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษ ทั้งนี้เทคโนโลยีไฮบริด ช่วยประหยัด
น้ำมันได้ถึงประมาณ 21.3 กิโลเมตร/ลิตร (หรือ 4.7 ลิตร/100 กิโลเมตร) และปลดปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์เพียง 110 กรัม/กิโลเมตร* (*ข้อมูลการทดสอบภายในของฮอนด้า)



Jazz HYBRID ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ล่าสุด อาทิ กระจังหน้า ไฟหน้าไฟท้าย
แบบใหม่ คิ้วโครเมียมฝากระโปรงท้าย ล้อแม็กอัลลอยขนาด 15 นิ้ว ปุ่ม ECON สำหรับ
เลือกโหมดการขับขี่ แบบเดียวกับ CIVIC FB CR-Z และ StepWGN Spada ระบบปรับอากาศ
อัตโนมัติ หน้าจอแสดงข้อมูล MID หน้าจอแสดงข้อมูลสถานะการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า
สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เครื่องเสียงแบบโมดูลพร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ
AUX กล่องเก็บของใต้เบาะนั่งหลัง ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางอเนกประสงค์ พื้นที่
เก็บสัมภาระท้ายกว้างขวาง รองรับทุกรูปแบบไลฟ์สไตล์ด้วยเบาะนั่ง Ultra SEAT ที่สามารถ
ปรับเปลี่ยนได้หลากหลายโหมด เสริมความมั่นใจด้วยโครงสร้างตัวถังรถยนต์แบบ G-CON
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาตรฐานด้วยถุงลมคู่หน้า Dual SRS และระบบ
เบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD

ที่สำคัญ Honda ยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ด้วยการรับประกันระบบ HYBRID ซึ่งมีทั้ง
มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุม แบตเตอรี่ HYBRID และระบบสายไฟ HYBRID โดยมีการ
รับประกันทั้งระบบ เป็นระยะเวลาถึง 5 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง Honda Jazz HYBRID
ยังได้รับสิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกด้วย

ใครสนใจ แวะไปดูคันจริง ทดลองขับได้ที่โชว์รูม Honda ทั่วประเทศ


Honda City CNG 2012

2012 ถือเป็นอีที่ Honda Automobile (Thailand) กระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ มากที่สุด
เป็นประวัติการณ์ หลังฟื้นตัวจากการเป็นผู้ประสบเหตุมหาอุทกภัยที่ราบลุ่มภาคกลาง เมื่อ
เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2012 ล่าสุด ยังไม่ทันที่กระแสการเปิดตัว Honda Jazz HYBRID
เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมาจะเบาบางลง วันนี้ (28 สิงหาคม 2012) Honda ก็เสริมทัพ
ให้กับ B-Segment Sub-Compact Sedan รุ่นขายดีที่สุดของตนอย่าง City ด้วยรุ่นติดตั้ง
ระบบก๊าซ CNG อย่างที่ทุกคนเฝ้ารอกันมาตลอด 2 ปี



ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอก จะไม่แตกต่างไปจาก City รุ่นมาตรฐานมากนัก มีเพียงการติด
สัญลักษณ์ CNG เพิ่มขึ้นมาที่ฝั่งขวา ของฝากระโปรงหลัง แต่ความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ใต้
เปลือกตัวถัง มีหลายประการ เกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด



เริ่มจาก การดัดแปลงเครื่องยนต์ L15A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC ให้รองรับการใช้ก๊าซ CNG
เป็นเชื้อเพลิงเสริม สำหรับการขับเคลื่อน ทั้งการปรับปรุงโปรแกรมในกล่องควบคุม
อิเล็กทรอนิกส์ (ECU : Engine Control Unit) ให้การประมวลผลที่แม่นยำในการจ่าย
ก๊าซ CNG อย่างเหมาะสม



ติดตั้งถังบรรจุก๊าซ CNG ความจุ 65 ลิตร พร้อมแผงกั้น ในห้องโดยสาร ตามกฎหมาย
กำหนด แต่ยังมีพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง เหลือเฟือพอให้ใส่ถุงกอล์ฟขนาดใหญ่
ได้อย่างสบายๆ 1 ใบ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง ท่อนำก๊าซแรงดันสูง ผลิตจากสเตนเลส
ทนทาน และสามารถรองรับก๊าซแรงดันสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวาล์วกันกลับ
อุปกรณ์ลดแรงดันก๊าซทำหน้าปรับลดแรงดันของก๊าซให้เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด

พละกำลังจะลดลงจากรุ่นมาตรฐานเล็กน้อย จาก 120 เหลือ 102 แรงม้า (PS) ที่ 6,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 12.9 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบ/นาที



ตำแหน่งเติมเชื้อเพลิง 2 ระบบ ทั้งน้ำมันเบนซิน / แก็สโซฮอลล์ และก๊าซ CNG อยู่ใน
ฝาถังน้ำมันแบบพลาสติก เหมือนกัน ติดตั้งลิ้นกันกลับป้องกันการไหลย้อนกลับของก๊าซ
เพื่อความสะดวกและปลอดภัย และมี สวิตช์เลือกชนิดเชื้อเพลิงและแสดงปริมาณก๊าซ
ติดตั้งมาให้บนแผงหน้าปัด อย่างเรียบร้อย สวยงาม



นอกจากนี้ Honda ยังทำการบ้านกับ City CNG มามากกว่าที่คาดคิด ด้วยการปรับปรุง
ระบบกันสะเทือนหน้า-หลัง สำหรับรองรับระบบ CNG โดยเฉพาะ ด้วยการเสริม
ชิ้นส่วน เข้าไปยังระบบกันสะเทือนด้านหลัง และมีการติดตั้งคานเสริม Cross Bar
บริเวณโครงสร้างด้านหลัง ที่วยึดติดพนักพิงเบาะหลัง เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่
และการทรงตัว

ดัานอุปกรณ์ความปลอดภัย ทั้งรุ่นย่อย S และ V จะติดตั้ง ถุงลมนิรภัยมาให้ถึง 2 ใบ
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD กุญแจรีโมท Wave Key
พร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม Immobilizer สวิชต์ Central Lock ฝั่งคนขับ ฯลฯ



City CNG เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐาน Euro4 รับประกันคุณภาพสูงสุด
3 ปีหรือ 100,000 กม. พร้อมรับสิทธิประโยชน์คืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงสุดถึง
100,000 บาท มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ดังนี้

S CNG AT 659,000 บาท
V CNG AT 706,000 บาท

สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี ได้แก่ แดงคาร์เนเลียน (มุก) น้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก)
เงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) เทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) ขาวทาฟเฟต้า และสีดำ
คริสตัล (มุก)

Honda ประกาศเปิดรับจอง City CNG ตั้งแต่วันนี้ 28 สิงหาคม 2012 ที่โชว์รูมของ
ผู้จำหน่าย Honda ทั่วเมืองไทย

Honda Freed มินิแวนไม่ถึงล้าน

ถึงแม้ในปี 2009-2011 จะเป็นปีที่ Honda ประสบปัญหาคาดไม่ถึงบางประการ ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดรวม
ไปถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ปลายปี 2011 จนทำให้โรงงาน Honda นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดอยุธยา
ได้รับความเสียหายขั้นรุนแรง แต่เมื่อถึงปี 2012 Honda ก็สามารถกลับมาแก้ลำทุกสิ่งทุกอย่างให้เดินหน้ากันได้

หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจเปิดตัว Honda Civic FB, Honda Jazz Hybrid และ Honda City CNG จนประสบ
ความสำเร็จในด้านการตอบรับ คราวนี้ก็ถึงคิวรถมินิแวนอาถรรพ์ Honda Freed บ้างแล้ว งานนี้อาจจะเป็นงานที่หนัก
หน่วงกว่ารถที่เปิดตัวก่อนหน้านั้นพอสมควรเพราะ Honda Freed ออกสตาร์ทตอนต้นไม่ได้สวยอย่างที่คาดคิด แต่ด้วย
การแข่งขันในตลาดมินิแวน 7 ที่นั่งราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทยังไม่ดุเดือดมากนักประกอบกับคุณสมบัติตัวรถที่ยังโดดเด่น
พอที่จะแข่งขันกันได้ และที่สำคัญ Honda Freed ยังพอมีอนาคตที่ดีในการเก็บเกี่ยวยอดขายมากกว่า 400 คันต่อเดือน
ได้ ดังนั้น Honda ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องจัดงานเปิดตัว Freed รุ่น Minorchange อย่างเป็นทางการเพื่อให้คนทั่วไป
รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของมัน

alt



วันที่ 4 กันยายน 2012 Honda Automobile ประเทศไทยได้เปิดตัว Honda Freed Minorchange มุ่งหมายสร้าง
กระแสรถยนต์อเนกประสงค์อิสระลงตัวของทุกรูปแบบการใช้ชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ใหม่แลดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น
ด้วยกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ โคมไฟหน้าสีเงินแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ กระจังหน้าแบบโครเมียมดีไซน์ใหม่ ด้านก็เปลี่ยนแปลง
รายละเอียดไฟท้ายและคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียมพร้อมสปอยเล่อร์หลัง ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่

ภายในห้องโดยสารดูดีขึ้นด้วยเบาะหนังและพนักเท้าแขนทั้งผู้โดยสารแถวหน้าและแถว 2 พร้อมทั้งให้ความบันเทิงเต็ม
รูปแบบด้วยระบบเครื่องเสียงแบบวิทยุ MP3 พร้อมจอ LCD ระบบสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX สำหรับ
อุปกรณ์ต่อพ่วง ผู้โดยสารตอนหลังยังเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นดีวีดี พร้อมจอ LCD ขนาด 10 นิ้ว และอำนวยความ
สะดวกให้ผู้ขับด้วยสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยและการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth (เฉพาะ
รุ่น EL) และที่ขาดไม่ได้เลยคือประตูข้างสไลด์อัตโนมัติ ซ้าย-ขวา อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Honda Freed

นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท Honda Automobile (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัว
Honda Freed ใหม่นี้เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่พร้อมเติมเต็มความ
ต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ เทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผู้บริโภคเริ่มมองหารถยนต์ที่ตอบ
โจทย์เรื่องการใช้งานเป็นหลัก รถยนต์ต้องมีฟังก์ชั่นการใช้สอยแบบสารพัดประโยชน์ รถยนต์อเนกประสงค์ หรือ
Multipurpose Utility Vehicle (MUV) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาด และเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง
แพร่หลายในตลาดต่างๆ รวมไปถึงในญี่ปุ่นและยุโรป”



“สำหรับในประเทศไทยเอง เราก็มีการศึกษารูปแบบการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบัน พบว่า ลูกค้ามีความสนใจรถยนต์
อเนกประสงค์เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคนในวัยทำงานมีกิจกรรมประจำวันมากขึ้น ทั้งที่
ทำงานและที่บ้าน รวมไปถึงกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือแม้แต่การใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัว
ฮอนด้าเล็งเห็นกระแสความต้องการในตลาด และเป็นผู้สร้างเทรนด์รถยนต์อเนกประสงค์ด้วยการนำ Honda Freed เข้า
มาทำตลาด ด้วยเราเชื่อมั่นว่า รถยนต์อเนกประสงค์มีแนวโน้มจะเติบโตเพิ่มขึ้นในเมืองไทย” นายพิทักษ์กล่าว

Honda Freed เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2551 และมีแนวโน้มการเติบโตที่
น่าสนใจ และนับเป็นรถยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งในตลาดญี่ปุ่น ภายในหนึ่งปี ฟรีด สามารถทำยอดการจำหน่ายได้สูงถึง
77,000 คัน และยังได้รับรางวัล “รถยนต์อันทรงคุณค่า” ประจำปี 2551-2552 begin_of_the_skype_highlighting FREE 2551-2552 end_of_the_skype_highlighting
ในประเทศญี่ปุ่น

สำหรับประเทศไทย Honda มีการนำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 เป็นต้นมา และได้รับการ
ตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขาย 11,400 คัน (ม.ค. 2553 – ก.ค. 2555)

2012 09 04 Honda Freed MC 4

นายสมภพ ปฏิภานธาดา ผู้จัดการส่วนงานการตลาด บริษัท Honda Automobile (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า
Honda Freed มีจุดเด่นในด้านห้องโดยสารที่กว้างขวางและการจัดวางพื้นที่ใช้สอย รวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ต่างๆ ขับขี่ง่าย ปลอดภัย ห้องโดยสารของฟรีดได้รับการออกแบบสไตล์ Open Cafe ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย สามารถ
รองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 คน เบาะนั่งแถว 3 สามารถปรับพับได้เพื่อการบรรทุกสัมภาระและการใช้งานที่หลากหลาย มีพื้นที่
ว่างแนวกลางที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการเดินถึงกันได้แบบ Walk Through มีประตูสไลด์อัตโนมัติทั้งด้านซ้าย
และขวาให้ความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงหรือขนย้ายสัมภาระแม้จอดในพื้นที่แคบ

“Honda Freed ถือเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับไลฟ์สไตล์กลุ่มคนเมืองครบทั้ง 3 มิติ มิติที่ 1 เป็นรถยนต์ที่อำนวย
ความสะดวกสำหรับงานอดิเรกในวันว่าง เช่น เล่นกีฬาที่มีอุปกรณ์ เช่น ตีกอล์ฟ เล่นเซิร์ฟบอร์ด ขี่จักรยาน มิติที่ 2 เติม
ความสุขให้กับสมาชิกในครอบครัวตลอดการเดินทาง ทั้งยังได้ขยายไปสู่มิติที่ 3 คือให้ความคล่องตัวในการทำงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องพกพาเครื่องมืออุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ เช่น ช่างภาพ สถาปนิก หรือทำธุรกิจต่างๆ
ฮอนด้า ฟรีด จึงถือได้ว่าเป็นยานพาหนะคู่ใจแบบ All-in-One ที่ครบครันด้วยประโยชน์ใช้สอยเหมาะกับทุกคน ทุก
ครอบครัว ทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ผู้เริ่มสร้างครอบครัวไปจนถึงชีวิตครอบครัวใหญ่” นายสมภพ อธิบาย



“สำหรับด้านการสื่อสารการตลาดจะมุ่งไปที่ประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขใน ฮอนด้า ฟรีด ใหม่ ภายใต้คอน
เซ็ปต์ The Journey of Love โดย Honda จัดทำภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งเป็นเรื่องราวน่ารักๆ ของการพบรักของเจ้าของ
ร้านดอกไม้กับร้านดนตรี โดยมี Honda Freed เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของความรัก สำหรับเพลงประกอบหนังโฆษณา
ชุดนี้ ได้เลือกใช้เพลง “คนข้างๆ” ของศิลปินแนวอินดี้ วง 25 Hours ซึ่งมีเนื้อร้องที่เข้ากันกับเนื้อเรื่องอย่างลงตัว โดยจะ
ออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 5 กันยายน และนอกจากนี้ยังมีซีรี่ส์ The Journey of Love อีก 3 ตอน ซึ่งสามารถติดตาม
รับชม ซีรี่ส์ของฮอนด้า ฟรีด ใหม่ได้ที่ www.honda.co.th/Freed

Honda Freed ติดตั้งเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ SOHC i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 118 แรงม้า
เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ให้การตอบสนองฉับไว สนุกทุกการขับขี่
พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control ช่วยรักษาความเร็วขณะเข้าโค้ง ระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พี
เนียนและเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.2 เมตร

2012 09 04 Honda Freed MC 6

Honda Freed Minorchange มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น SE ราคา 839,000 บาท ที่มาพร้อมกระจังหน้าแบบโครเมียม
กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ โคมไฟหน้าสีเงินแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ไฟท้ายและคิ้วฝากระโปรงท้ายโครเมียมพร้อมสปอยเล่อร์หลัง
ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ เบาะนั่งด้านคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ นอกจากนี้ยังมีพนักเท้าแขนทั้งผู้โดยสารแถวหน้าและแถว 2

รุ่น EL ราคา 949,000 บาท เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ เบาะหนังทุกที่นั่ง ระบบเครื่องเสียงแบบวิทยุ
MP3 พร้อมจอ LCD ระบบสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง สวิตซ์ควบคุมเครื่อง
เสียงบนพวงมาลัยและระบบการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth กล้องส่องภาพด้านหลัง สำหรับผู้โดยสารตอน
หลังได้รับความเพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยเครื่องเล่นดีวีดี พร้อม LCD ขนาด 10 นิ้ว

Honda Freed ใหม่ มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ (มุก) (เพิ่ม 10,000 บาท) สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีดำ
คริสตัล (มุก) และสีใหม่ คือ สีน้ำตาลสปาร์คลิ่ง (เมทัลลิก)


 

New Honda CR-V 2012


ยังไม่ทันที่ Honda จะเปิดตัว รถตู้ Minivan รุ่น Freed Minorchange กับ City CNG ผ่านไปครบ
1 เดือน เท่าใดเลย บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด ก็ไม่รอช้า เดินหน้าส่ง CR-V
รุ่นเปลี่ยนโฉมทั้งคันในแบบ Full Model Change ออกสู่ตลาดตามเกาะติดทันที เปิดตัวแล้ว ในวันนี้
(18 กันยายน 2012) จนชวนให้แอบสงสัยอยู่นิดๆว่า ที่เร่งเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ตามติดต่อเนื่องกันแทบ
ทุกเดือนเช่นนี้ เป็นเพราะ กลัวน้องน้ำ จะกลับมาเยือนโรงงาน ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนคร-
ศรีอยุธยา เฉกเช่นเดียวกันกับปี 2011 หรือเปล่า?

ได้แค่แซวเล่นกัน ขำ ขำ เพราะความจริง ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ ต่างรู้ดีว่า นี่คืออีกหนึ่ง
รุ่นรถยนต์ ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ จากเหตุการณ์ มหาอุทกภัย ในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง เมื่อ
เดือนกันยายน - ธันวาคม 2011 เพราะหากไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว กำหนดการเดิมที่ Honda จะต้อง
เปิดตัว รถยนต์รุ่นนี้ออกสู่ตลาด จอยู่ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2012 ที่ผ่านมา แต่ในเมื่อ
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นผ่านพ้นไปแล้ว ก็คงไม่อาจไปแก้ไขอะไรได้ มีเพียงแค่การปรับตัว ปรับแผน
รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป



CR-V ใหม่ นับเป็นรถยนต์นั่งรุ่นที่ 9 ที่ Honda Automobile (Thailand) ประกาศเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย
อย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาเพียง 5 เดือนเศษ หลังจากฟื้นฟูโรงงานเสร็จสิ้น จนพร้อมกลับมาเดินเครื่อง
ผลิตรถยนต์ออกสู่จำหน่ายอีกครั้งเมื่อวันที่ 31 มันาคม 2012 โดยก่อนหน้านี้ Honda เปิดตัวรถยนต์นำเข้า
จากญี่ปุ่น ทั้ง CR-Z Odyssey StepWGN SPADA และ Freed Minorchange รวมทั้งรถยนต์ประกอบใน
ประเทศไทย ได้แก่ Civic FB Jazz HYBRID City CNG และ Brio รุ่นย่อยใหม่ S AT ทำสถิติการเปิดตัว
รถมากรุ่นที่สุดเป็นประวัติการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว แน่ละ ไม่เคยมี
ใครที่ไหน เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ต่อเนื่องกัน แทบจะทุกเดือน เฉลี่ย เดือนละ 1 รุ่นอย่างนี้มาก่อนหรอก!

เพราะในความจริง CR-V รุ่นนี้ เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น มาตั้งแต่ช่วง เดือนกันยายน ของปี 2011
แต่ในเมื่อ Honda กลายเป็นผู้ประสบภัย ช่วงที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ที่โรงงานโรจนะ Honda จึงต้องจำใจ
พักการผลิต CR-V ไปชั่วคราว ก่อนจะเริ่มกลับมาผลิตรถรุ่นเก่า เท่าที่ยังมีใบสั่งจองเหลือค้างอยู่


CR-V ใหม่ ถือเป็น Generation ที่ 4 ของรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ( Sport Utility Vehicle) รุ่นดังที่กลาย
มาเป็นเสาหลัก 1 ใน 4 รุ่นรถยนต์ ที่ขายดีที่สุด ของ Honda ทั้งในตลาดเมืองไทย และอีกกว่า 160 ประเทศ
ทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี 1995 จนถึงวันนี้ CR-V ทั้ง 4 Generation ทำยอดขายสะสมไปได้
มากถึง 4.9 ล้านคัน!! เฉพาะในเมืองไทย นับตั้งแต่เริ่มทำตลาดในปี 1996 มียอดขายสะสมกว่า 90,000 คัน

มาวันนี้ CR-V ใหม่ ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน โครงสร้างวิศวกรรมต่างๆ ร่วมกับรถรุ่นที่ 3 อันเป็นรุ่น
ก่อนหน้านี้ เพียงแต่นำเอาข้อด้อย เท่าที่มี มาปรับปรุงต่อยอด โดยรักษาคุณงามความดีของตัวรถทิ้งไว้

Mr. Satoshi Makino ผู้ช่วยหัวหน้าโครงการพัฒนารถยนต์ Honda CR-V ใหม่ จาก บริษัท Honda R&D จำกัด
(ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า “การพัฒนารถยนต์ Honda CR-V ใหม่ เรายังใช้แนวคิดหลัก Man Maximum, Machine
Minimum ที่เน้นให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยที่ให้อรรถประโยชน์และความ
สะดวกสบายมากที่สุด แนวคิดการออกแบบ CR-V ใหม่สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง (Bold) ผสานกับความล้ำสมัย
(Advance) อย่างชัดเจนและลงตัว”

CR-V ใหม่ มีรูปลักษณ์ภายนอก ที่เพิ่มความแข็งแกร่ง หรูขึ้น แต่มีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวขึ้น ดูลงตัวกว่าเดิม
โครงสร้างตัวรถมีการยกระดับความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวรถแบบ Uni-body ที่พัฒนาเชิงวิศวกรรมใหม่
ทั้งหมด ส่งผลให้ ซีอาร์-วี ใหม่เป็นรถ สปอร์ตอเนกประสงค์ที่มีความเพรียวลมมากที่สุด และมีทัศนวิสัยการ
ขับขี่ดีขึ้น

ไฟหน้าใหม่แบบโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ กระจังหน้าใหม่แบบ 3 ชั้นพร้อมคิ้วโครเมี่ยม ไฟตัดหมอกรูปวงรี
รวมไปถึงกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ไฟท้ายและไฟเบรกแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์ตั้งขนานกับแนวเสาหลังคา
ตลอดจนการใช้เสาอากาศแบบครีบ และล้ออัลลอย 5 ก้านขนาดใหญ่



ภายในห้องโดยสาร ถูกออกแบบให้เน้นความโปร่ง และกว้างขวางกว่าเดิมเล็กน้อย ประดับตกแต่งให้ดูหรูใน
ระดับ Premium Grade เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัย ลดระดับของเสียงรบกวน ให้ความรู้สึก
สะดวกสบาย เหมือนขับรถซีดานตลอดการเดินทาง อีกหนึ่งจุดเด่นของ CR-V ใหม่ อยู่ที่การออกแบบเบาะหลัง
ให้มีรูปแบบการปรับพนักพิง ใหม่ ให้สามารถแยกพับลงได้แบบ 60:40 จนเกือบแบนราบเป็นระนาบเดียวกับ
พื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างง่ายดายเพียงดึงคันโยกหรือสายด้านข้างเพียงครั้งเดียว (One Motion) มีให้เลือกทั้ง
เบาะหนังโทนสีดำ และสีเทาอ่อน



แผงหน้าปัด และมาตรวัด อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัย เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลแบบอัจฉริยะ i-MID
พร้อม ระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน Eco Assist / ECON Mode เหมือนกับ Honda รุ่นใหม่ๆ
ที่เปิดตัวในบ้านเรา ช่วงปี 2012 นี้ แผงมาตรวัดแบบเรืองแสง ระบบเนวิเกเตอร์พร้อมเครื่องเล่น DVD และ
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth พร้อมชุดเครื่องเสียงที่มีโหมดการปรับความดังของเพลง
อัตโนมัติตามความเร็วของรถยนต์ (Speed-Sensitive Volume Control: SVC) สวิชต์ติดเครื่องยนต์แบบ
One Push Ignition System พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิชต์ Multi Function และ ระบบ Honda Smart
Key System ที่ติดตั้งมาให้ครั้งแรกสำหรับ CR-V



ด้านวิศวกรรม CR-V ยังคงติดตั้งเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด เหมือนเดิม และยังคงเป็นเครื่องยนต์ แบบเดิม
ที่ลูกค้าชาวไทยคุ้นเคย ทั้ง เครื่องยนต์ R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 1,997 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.9
มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC เวอร์ชันเดียวกับ Civic FB ใหม่ ที่ถูก
ยกระดับความแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากเดิม 150 แรงม้า (PS) เป็น 155 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 19.4 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

และเครื่องยนต์ K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,354 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.0 x 99.0 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 9.3 : 1 ยกมาจาก CR-V รุ่นเดิม กำลังสูงสุด ก็เลยยังคงเหมือนเดิมคือ 170 แรงม้า (PS) ที่
5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.4 กก-ม.ที่ 4,200 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ ทั้ง 2 ขนาด ถูกปรับปรุงให้สามารถรองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเอทานอล ได้สูงสุดถึงระดับ E85

ทั้ง 2 ขุมพลัง ยังคงมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ตามสภาพถนน และมีเฉพาะ
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เท่านั้น



ด้านความปลอดภัย ยังคงติดตั้ง ระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย
เพาเวอร์ไฟฟ้า MA-EPS ระบบป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบช่วยออกตัว
บนทางลาดชัน Hill Start Assist ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และ ด้านข้างสำหรับเบาะคู่หน้า รวม 4 ใบ พร้อมระบบ
ตรวจสอบตำแหน่งท่านั่งของผู้โดยสารด้านหน้า (Occupant Position Detection System: OPDS)
และกุญแจรีโมทนิรภัย Immobilizer

CR-V ใหม่ เพิ่งได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยโดยรวมระดับ 5 ดาว จาก The National Highway Traffic
Safety Administration (NHTSA) ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังได้รับคะแนนระดับดีจากทุกการทดสอบจาก
The Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) และได้รับเลือก Top Safety Pick ทั้งยังได้รับรางวัล
มากมายกว่า 130 รางวัลจากทั่วโลก



Honda ตั้งเป้ายอดขาย CR-V ใหม่ไว้ที่ 20,000 คัน ภายใน 1 ปี CR-V ใหม่ โดยจะมีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ดังนี้
รุ่น 2.0 S 2WD ราคา 1,164,000 บาท (เพิ่มจากเดิม 34,000 บาท)
รุ่น 2.0 E 4WD ราคา 1,274,000 บาท (เพิ่มขึ้น 30,000 บาท)
รุ่น 2.4 EL 2WD ราคา 1,444,000 บาท (เพิ่มขึ้น 20,000 บาท)
รุ่น 2.4 EL 4WD ราคา 1,524,000 บาท (เพิ่มขึ้น 11,000 บาท)

ส่วนสีตัวถังจะมีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ 2 สีใหม่ สีน้ำเงิน Twilight Blue Metallic สีขาว Orchid มุก
(ราคาเพิ่ม 12,000 บาท) สีเงิน Alabaster Metallic สีดำ Cyrstal (มุก) สีเทา Polish Metal Metallic
และสีน้ำตาล Urban Titanium Metallic