31.3.09

นิสสัน" ยันลุย "อีโคคาร์" มาแน่ปีหน้า

นิสสัน" ยันลุย "อีโคคาร์" มาแน่ปีหน้า

ข่าวในประเทศ – บิ๊กบอสใหม่นิสสันประกาศชัดโครงการ “อีโคคาร์” มาแน่ปีหน้าและจะเป็นทีเด็ดกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดรถยนต์ไทย บวกกับค่าเงินเยนแข็งมีผลต่อต้นทุนเป็นเหตุให้บริษัทแม่โยกฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาไทย-อินเดีย เชื่อ 3-4 ปีเห็นยอดขายรถเล็กรวมทุกยี่ห้อระดับ 1.0-1.5 แสนคันชัวร์ เตรียมปูทางปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งการบริหาร-ภาพลักษณ์ ดีเดย์ 21 เมษายนนี้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ประเดิมรุ่นแรกกับ“เทียน่า ”ชูความหรูหราพร้อมสมรรถนะเหนือคู่แข่ง เคาะราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท ตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน

นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด

นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจ และการที่ค่าเงินเยนแข็งตัว ส่งผลกับต้นทุนการผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นที่สูงขึ้น จึงทำให้บริษัทแม่ต้องขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆซึ่งรวมถึงไทย และอินเดีย โดยจะมุ่งไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก(เอหรือบีแพล็ตฟอร์ม)เป็นหลัก เช่นกันกับโครงการอีโคคาร์ในไทย ที่บริษัทลงทุนไปกว่า 5,000 ล้านบาท ยังดำเนินการตามแผนเดิม โดยมีกำหนดเปิดตัวรถช่วงปี 2553

“อีโคคาร์เป็นรถเล็กราคาประหยัด ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ในประเทศให้มีความคึกคัก ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าจะมีรถทำตลาดในปีหน้า และจากนั้นจะมีหลายค่ายทยอยเปิดตัวทำตลาดซึ่งระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปี อีโคคาร์จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นตลาดใหญ่ด้วยยอดขาย 1.0-1.5 แสนคันต่อปี”

อย่างไรก็ตามเพื่อปูทางไปสู่แผนงานดังกล่าว บริษัทจึงเตรียมปรับภาพลักษณ์และการบริหารงานครั้งใหญ่ โดยวันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป จะเริ่มปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ซึ่งหลักๆจะพยายามดึงพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และวันที่ 21 เมษายน 2552 จะเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการจาก สยามนิสสัน ออโตโมบิล เป็นบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้สอดคลองกับชื่อบริษัทอื่นๆในประเทศ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันเดียวกันทั่วโลก

“ในไทยเรามีบริษัทในเครือหลายแห่งที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า นิสสัน อาทิ นิสสัน ลีสซิ่ง หรือ นิสสัน พาว์เวอร์เทรน ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อบริษัทครั้งนี้จะทำให้ทุกบริษัทมีชื่อไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการสื่อสาร และแสดงถึงภาพลักษณ์แบรนด์ที่เข้มแข็งต่อไป”

ทั้งนี้บริษัทยืนยันที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นในประเทศไทยเอาไว้ที่ 75% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือ 25% ยังเป็นของกลุ่มสยามกลการ (พรเทพ พรประภา) ซึ่งการเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของบริษัทคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องทำหลายเรื่องอาทิ ผลิตภัณฑ์ โปรโมชั่น ราคา ที่ต้องไปในแนวเดียวกัน แต่เชื่อว่าทั้งหมดจะช่วยยกระดับแบรนด์นิสสันในอนาคต

นิสสัน เทียน่า

นายฮาเซกาวา กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพลักษณ์ใหม่ของนิสสัน จะเริ่มกับโปรดักต์อย่าง เทียน่า ที่เปิดตัววันนี้(19 มี.ค.) กับความหรูหรา ทันสมัย สมรรถนะที่ไม่เป็นรองคู่แข่งในท้องตลาด(โตโยต้า คัมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด) กับเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร ใน 6 รุ่นย่อย ราคา 1.179 - 1.649 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าขายปีนี้ 3,000 คัน

“เราเชื่อมั่นว่าความพึงพอใจของลูกค้าเริ่มต้นจากคุณภาพของสินค้าที่ดี ซึ่งนิสสัน เทียน่าเป็นหนึ่งในรถยนต์คุณภาพ และเป็นรถยนต์น่าขับรุ่นหนึ่งที่นิสสันได้นำเสนอแก่ลูกค้าในประเทศไทย โดยเราหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบรนด์ นิสสัน จากเทียน่า รุ่นใหม่นี้”

สำหรับปี2552บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่น 28,000 คัน ขณะที่การส่งออกประมาณการณ์ไว้ 50,000 คัน ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างบริหารและภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน 4 ปีนับจากนี้ จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 10% จากปัจจุบันที่มีเพียง 5-6% เท่านั้น

สำหรับนายโทรุ ฮาเซกาวา เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้นายฮาเซกาวา เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ นิสสัน มอเตอร์ อินโดนีเซีย (พ.ศ. 2544 -2547 )และนิสสัน มิดเดิลอีสต์ (พ.ศ.2549- 2551)

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

28.3.09

BMW พร้อมอวดโฉม4รุ่นใหม่ มอเตอร์โชว์

BMW พร้อมอวดโฉม4รุ่นใหม่ มอเตอร์โชว์

ข่าวในประเทศ - บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมอวดโฉม 4 รถใหม่ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์นำขบวนโดย BMW Z4 Roadster ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ระดับโลกที่งานดีทรอยท์, BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่, มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล และ มอเตอร์ไซค์ BMW HP2 Sport Limited Edition พร้อมแคมเปญสุดพิเศษ ดอกเบี้ย0%

ิซีรี่ส์ 7 ใหม่
มิคาเอล คอร์ดิส ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า การเข้าร่วมแสดงรถในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ ยานยนต์ คน รักษ์ธรรมชาติ Green Life on Wheels ซึ่งเป็นคอเซ็ปต์ของงานครั้งนี้ โดยมีรถใหม่ร่วมแสดงถึง 4 รุ่นได้แก่


1. ซีรี่ย์ 7 ใหม่ มี2 รุ่นย่อยคือ BMW 750Li และ BMW 740Li โดยเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูป มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทั้งในด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น ระบบบังคับเลี้ยวอัจฉริยะ Integral Active Steering ที่ช่วยให้รถมีเสถียรภาพในการบังคับเลี้ยว ทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวในการเลี้ยวในที่แคบๆ เช่นในลานจอดรถ

ระบบ Night Vision ใหม่ ซึ่งเป็นระบบกล้องอินฟาเรดที่มาพร้อมกับความสามารถในการจับทิศทางและความเร็วของคนหรือสัตว์ เพื่อคำนวณและเตือนล่วงหน้าให้ผู้ขับได้ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะยามค่ำคืนและอยู่นอกระยะส่องของไฟหน้า

นอกจากนั้น BMW ซีรี่ย์ 7 ใหม่ทั้งสองรุ่นได้รับการติดตั้งระบบนำทาง BMW Navigation System Professional ซึ่งทำงานบนระบบฮาร์ดดิสก์ เพื่อให้ความสะดวกสบายและรวดเร็วในการค้นหาเส้นทางอีกด้วย

ด้านหัวใจของ 750Li: เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร / 1,750-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 8.8 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 266 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 15,699,000 บาท)

ส่วน 740Li: เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร / 1,500-4,500 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.0 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 10.0 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 235 กรัมต่อกิโลเมตร(ราคา 12,999,000 บาท)

แซด4 โรดสเตอร์

2. บีเอ็มดับเบิลยู แซด4 โรดสเตอร์ ใหม่ โรดสเตอร์ที่ผสมผสานความคลาสสิก เทคโนโลยีล้ำหน้า และความสะดวกสบาย มีการกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล 50:50 หน้า:หลัง มีหลังคาแบบ Retractable Hardtop น้ำหนักเบาสามารถเปิดหรือปิดในเวลาเพียง 20 วินาที อีกทั้งยังสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ถึง 2 ใบ (ขณะหลังคาปิด)

Z4 sDrive23i บรรจุเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร แบบ 6 สูบแถวเรียง กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร / 2,750 รอบ อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมัน 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร และ อัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 207 กรัมต่อกิโลเมตร

มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล

3. มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ใหม่ นอกจากดีไซน์โดนใจในสไตล์มินิและอารมณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจสไตล์โกคาร์ของมินิแล้ว มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ล ยังมาพร้อมกับแอ็คทีฟโรลบาร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เป็นหนึ่งเดียวในรถคลาสนี้ มินิ คอนเวิร์ทติเบิ้ลมี 2 รุ่น คือ MINI Cooper S Convertible (ราคา 3,200,000 บาท) และ MINI Cooper Convertible (ราคา 2,800,000 บาท)

็HP2 Sport

4. BMW Motorcycle HP2 Sport มอเตอร์ไซค์สปอร์ตสายพันธุ์บ๊อกเซอร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าจากสนามแข่งสู่ท้องถนน HP2 Sport ใช้ตัวถังน้ำหนักเบาผลิตจากวัสดุคาร์บอน ระบบการควบคุมและแดชบอร์ดแบบ MotoGP ล้อแม๊กซ์อลูมิเนียมน้ำหนักเบา และระบบเปลี่ยนเกียร์ Shift Assistance และระบบเบรค Brembo monoblock จากมอเตอร์ไซค์แข่ง อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง 1,200 ซีซี สามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 133 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ แล้วด้วยน้ำหนักเพียง 178 กิโลกรัม BMW Motorcycle HP2 Sport มีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาต่ำกว่า 3.1 วินาที (ราคา 1,390,000 บาท Limited Edition เพียง 10 คันในเมืองไทย)

ด้านแคมเปญมอเตอร์โชว์ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยจัดแคมเปญพิเศษคือ (1) แคมเปญ ”Low Monthly Payment แบ่งชำระแบบสบายๆ” หรือ (2) ”ดอกเบี้ย 0%” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 6 เมษายน พ.ศ. 2552 และพิเศษสำหรับช่วงมอเตอร์โชว์แคมเปญ ทุกท่านที่ซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในแคมเปญนี้จะได้รับของขวัญจากบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย คือ iPod Touch ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเพื่อฟังเพลงจากระบบเครื่องเสียงของรถ BMW ได้

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

25.3.09

เบนซ์เผยโปรเจ็กต์สปอร์ตใหม่ เอสแอลเอส

เบนซ์เผยโปรเจ็กต์สปอร์ตใหม่ เอสแอลเอส

ข่าวต่างประเทศ - แม้เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็จัดการกระตุ้นตลาดรถสปอร์ตระลอกใหม่ เมื่อยืนยันเดินหน้าโปรเจ็กต์การพัฒนาซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่จะใช้ชื่อว่าเอสแอลเอส โดยมีเป้าหมายเตรียมลงสู่ตลาดภายในปี 2011 พร้อมประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก หรือที่เรียกว่า Gullwing อันเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตรุ่นเก่า 300SL ในปี 1954

งานนี้ไม่ต้องรอข้อมูลหรือภาพแอบถ่ายแบบ Spy Shot แต่อย่างใด เพราะค่ายดาว 3 แฉกนำข้อมูลพร้อมภาพของคันที่กำลังพัฒนานำออกเผยแพร่ตามอินเตอร์เนตเองเลย โดยเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นโปรเจ็กต์รถสปอร์ตที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนที่กำลังจะยุติการผลิตเดือนพฤษภาคมนี้แต่อย่างใด แม้ว่าชื่อรุ่นมีลักษณะคล้ายกันและอักษรตัวท้ายจะเป็น S ซึ่งเป็นตัวที่ตามหลัง R ก็ตาม


เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาตัวรถจะมีขนาดเล็กกว่าเอสแอลอาร์ และมีลักษณะการเปิดประตูในแบบปีกนก โดยตัวถังขึ้นรูปแบบในแบบสเปซเฟรม และใช้อะลูมิเนียมผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตโครงสร้างห้องโดยสาร และชิ้นส่วนตัวถังเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระดับ 1,623 กิโลกรัม หรือเบากว่าเอสแอลอาร์ แม็กลาเรนอยู่ 150 กิโลกรัม และมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,680 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงของเอสแอลเอส เอเอ็มจีเป็นแบบวี8 6,208 ซีซี มีกำลังสูงสุด 571 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 68.6 กก.-ม. ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ 7 จังหวะรุ่นใหม่ Dual-Clutch สู่ล้อคู่หลัง โดยที่เพลาขับฝั่งซ้ายและขวาของเพลาท้ายผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มีน้ำหนักเบาและทนทาน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในรถแข่ง DTM ของเมอร์เซเดส-เบนซ์


ตัวรถให้อัตราเร่งที่ทันใจใช้เวลาเพียง 3.8 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะจุดเด่นที่แรงม้าต่อน้ำหนักอยู่ที่ 2.84 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้า ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โปรเจ็กต์เริ่มทำงานกันมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2006 และตอนนี้ขั้นตอนการพัฒนาเกือบเสร็จสิ้นแล้ว และจะมีการนำคันต้นแบบออกทดสอบตลอดช่วงปี 2009 ก่อนที่จะมีการเปิดตัวคันจริงปี 2010 และเริ่มทำตลาดปี 2011

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

23.3.09

BMW 5 Series Gran Turismo Concept ร่างจำแลงซีรีส์ 5 ใหม่

BMW 5 Series Gran Turismo Concept ร่างจำแลงซีรีส์ 5 ใหม่

ไม่ต่างจากตอนที่เมอร์เซเดส-เบนซ์นำต้นแบบที่ชื่อว่า ConceptFascination มาจัดแสดงเมื่อปีที่แล้ว เพราะนี่คือการอุ่นเครื่องในการนำเสนอแนวทางการออกแบบเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นจำหน่ายจริงอย่างอี-คลาสโฉมใหม่ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูก็จัดการเดินตามรอยนี้เช่นกัน กับการเผยโฉมต้นแบบใหม่ที่ชื่อว่า 5 Series Gran Turismo เพื่อเป็นร่างจำแลงในการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกที่ซีดานระดับหรูขนาดกลางอย่างสายพันธุ์ซีรีส์ 5 โฉมใหม่ควรจะเป็นเมื่อถึงเวลาขายจริง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปลายปีนี้

คิวการเปิดตัวของต้นแบบใหม่รุ่นนี้จะอยู่ในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 ต้นเดือนมีนาคมนี้ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยตัวรถได้รับการพัฒนาตามแนวคิดที่เรียกว่า PAS หรือ Passive Activity Sedan หรือซีดานสุดล้ำที่เปี่ยมด้วยประโยชน์ใช้สอย และนั่นก็เลยทำให้ในตัวต้นแบบได้รับการออกแบบบนตัวถังฟาสแบ็ค 5 ประตู ซึ่งฝากระโปรงหลังสามารถเปิดขึ้นพร้อมกับกระจกบังลมหลัง เพิ่มความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสัมภาระ และกว่ากันว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของคริส แบงเกิ้ล ก่อนที่จะเขาจะอำลาจากการเป็นหัวหน้าในส่วนฝ่ายออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู

ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อกลายมาเป็นซีรีส์ 5 ใหม่แล้ว จะมีตัวถังนี้ทำตลาดนอกเหนือจากซีดาน 4 ประตูแบบตัวถัง 3 กล่อง และสเตชันแวกอน 5 ประตูหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากค่ายใบพัดสีฟ้า เพราะถ้าอิงจากการทำตลาดรูปแบบเดิมๆ ของซีรีส์ 5 นับจากตัวถัง E12 จนถึงรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะปลดระวางจากตลาดอย่าง E60/E61 แล้ว ตัวถังไม่น่าจะมีอะไรมากกว่า 2 แบบข้างต้น แต่ในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันอย่างดุเดือด ก็ยังไม่ควรปิดโอกาสของความเป็นไปได้เกี่ยวกับสร้างสีสันในตลาดด้วยตัวถังใหม่


แต่ก็ไม่แน่ด้วยเช่นกันที่ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะยังเล่นมุขเดิมๆ ด้วยการสร้างกระแสความสนใจในกลุ่มลูกค้าให้กลายเป็น Talk of The Town ตามหน้าอินเตอร์เนต ด้วยการผลิตต้นแบบในรูปทรงที่แปลกและแตกต่างออกไป แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่…สรุปคือ คงต้องรอดูของจริงที่ซีรีส์ 5 ใหม่รหัสตัวถัง F10 ซึ่งมีคิวเปิดตัวปลายปีนี้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์หรือไม่

ในรุ่นต้นแบบ ตัวรถมาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่พอสมควรด้วยความยาว 4,998 มิลลิเมตร กว้างแบบรวมกระจกมองข้าง 2,207 มิลลิเมตร สูง 1,559 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อเหลือเฟือด้วยความยาวถึง 3,070 มิลลิเมตร มั่นใจได้เลยว่าข้างในกว้างขวางและโอ่โถงแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของ Leg Room ของพื้นที่วางขาของเบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลัง


สำหรับงานออกแบบภายนอกเป็นการประยุกต์สไตล์การสร้างสรรค์มาจากซีรีส์ 7 ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่คงเอกลักษณ์ที่สำคัญๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูเอาไว้ เช่น กระจังหน้ารูปไตคู่ หรือ Twin Kidney โดยที่ไฟหน้าเป็นแบบดวงกลมคู่ แต่ในยุคใหม่ๆ รถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูเปลี่ยนมาเป็นไฟดวงกลมคู่ในกรอบเหลี่ยม เรียกว่ารายละเอียดโดยรวมของตัวรถเหมือนกับการจับเอาซีรีส์ 7 รุ่นใหม่มาย่อส่วนเพื่อเจาะตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดกลาง

แนวเส้นหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเทลงมาเพิ่มความสปอร์ต และอีกเอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู คือ การออกแบบแนวเสาหลังคาหลังและแนวของประตูหรือกระจกบานหลังให้โค้งหักลงมาคล้ายกับตะขอ หรือ ตัว J หรือที่เรียกว่า Hofmeister kink หรือ Hofmeister kick หรือ Hofmeisterknick ในภาษาเยอรมัน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับรุ่น 1500 ที่เปิดตัวในปี 1961 ในยุคที่มี Wilhelm Hofmeister เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และนำนามสกุลของผู้ริเริ่มมาใช้ตั้งชื่อแนวทางการออกแบบลักษณะนี้


ภายในห้องโดยสารเน้นความสวยและล้ำสมัย โดยเฉพาะการออกแบบเบาะนั่งหลังให้เป็นแบบแยกส่วนโดยมีแผงคอนโซลกลางยาวคั่นกลาง และเบาะหลังฝั่งซ้ายและขวาสามารถปรับเลื่อนถอยหลังได้ 100 มิลลิเมตร และพนักพิงสามารถปรับเอนหลังได้เช่นกัน ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระมีความจุ 570 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,650 ลิตรเมื่อพับเบาหลังลงมา

ในเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถไม่มีการเปิดเผยออกมา เพราะดูแล้วจุดประสงค์หลักของการนำต้นแบบรุ่นนี้มาเปิดตัวคือ การสร้างกระแสความสนใจของคนทั่วโลกให้มีต่อซีรีส์ 5 ใหม่ เพื่อเตรียมตัวรับกับอีกความหรูจากแบรนด์เยอรมนีที่พร้อมเจาะตลาดรถยนต์


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

20.3.09

2 เวอร์ชันใหม่ “โตโยต้า” แต่งอัลติส-ฟอร์จูนเนอร์ลุย

2 เวอร์ชันใหม่ “โตโยต้า” แต่งอัลติส-ฟอร์จูนเนอร์ลุย

ข่าวในประเทศ - โตโยต้า เผยทีเด็ดเวอร์ชันพิเศษสองรุ่นหลัก “โคโรลลา อัลติส และฟอร์จูนเนอร์” หวังทำยอดขายช่วงงาน “มอเตอร์โชว์” ปลายเดือนนี้ โดยดีลเลอร์ใหญ่ “พิธานพาณิชย์” ปล่อยภาพและรายละเอียดเรียกน้ำย่อยก่อนพบคันจริง สำหรับ “โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตทั้งภายใน-ภายนอก สนนราคา ที่ 829,000 บาท ส่วนฟอร์จูนเนอร์มีให้เลือก 2 เวอร์ชัน โดยรุ่น TRD Sportivo เน้นการตกแต่งพิเศษเช่นกัน รุ่น APERTO เน้นความบันเทิงแก่ผู้โดยสาร ทุกรุ่นผลิตจำนวนจำกัดและมีสีขาวเท่านั้น ส่วนราคายังไม่เคาะ ขณะเดียวกันยังนำ “ยาริส-วีออส” มาแต่งพิเศษเอาใจขาโจ๋ที่ชอบรถไม่ธรรมดา

ชุดตกแต่ง TRD
แม้อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตชนิดแบบไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอยู่นั้น ด้านตลาดรถยนต์เมืองไทยก็ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ใหญ่ของโลกเพราะผลลัพธ์ที่ได้ส่งผลให้ผู้บริหารกุมขมับกันทุกราย สังเกตุจากยอดขายรถยนต์ช่วงเดือนแรกของปี 2552 ที่ตกลงมาถึง 30% ทั้งค่ายเล็กและค่ายใหญ่

แต่ใครละจะหยุดนิ่งทุกค่ายต่างดิ้นร้นเพื่อความอยู่รอดจึงไม่แปลกที่จะเห็นว่าในช่วงนี้ค่ายรถยนต์ต่างทยอยเปิดตัวรถใหม่กันเป็นว่าเล่นและต่างคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในไตรมาส2 มิให้ตกลงไปมากกว่านี้ ที่สำคัญยังมีเวทีให้ลงเล่น โดยเฉพาะยอดขายสามารถสร้างได้ในพริบตาหากสินค้าโดนใจ

“มอเตอร์โชว์” หรือ “ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2552 จึงกลายเป็นเวทีที่ค่ายรถอาศัยในการสร้างยอดขายจากรถรุ่นใหม่ รุ่นปรับโฉม และที่ผ่านมางานมอเตอร์โชว์ก็ไม่เคยทำให้ค่ายรถผิดหวังเพราะแต่ละค่ายต่างโกยยอดขายกันเป็นกอบเป็นกำหลังจบงาน

ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo เปลี่ยนช่วงล่างด้วย

ดูเหมือนว่าทุกปีค่ายรถที่ทำยอดขายมากสุดคือ “โตโยต้า” แน่นอนปีนี้ก็คงไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของไทยที่นำรถยนต์แต่ละรุ่นมาสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย บวกกับแคมเปญและชื่อเสียงของโตโยต้าที่อยู่ในตลาดเมืองไทยมานานย่อมสร้างความมั่นใจไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

สำหรับปีนี้นอกจากจะมีรถต้นแบบอย่าง A-BAT และ 1/ X แล้วโตโยต้ายังมี พรีอุส ไฮบริด เวอร์ชันล่าสุด มาโชว์ให้คนไทยน้ำลายหกอีกรอบแต่ก็ยังไม่ยอมใจอ่อนขายสักทีปล่อยให้เกรย์มาร์เก็ตฟันยอดกันอย่างสบายใจ แต่ทีเด็ดของโตโยต้าในงานมอเตอร์โชว์อยู่ที่รุ่นพิเศษใน 2 รุ่นหลัก คือ โคโรลล่า อัลติส รุ่น 1.6 SS-I ตกแต่งแบบสปอร์ต และฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo และ APERTO โดยทั้งสองรุ่นนี้ “พิธานพาณิชย์” ดีลเลอร์ของโตโยต้า ได้ลงข้อมูลของรถทั้ง 2 รุ่นอย่างละเอียดในเว็ปไซต์ของตนเอง www.phithan-toyota.com

เบาะัหนังลาย TRD และแผงเคฟล่าร์

โดยในเว็ปไซต์บอกว่าโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส รุ่นพิเศษ รุ่น 1.6 SS-I (Superb Seadan-One) จะเน้นการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยสเกิร์ตด้านหน้า ด้านหลัง และสปอยเลอร์หลัง กระจังหน้า แนวนอนสีขาวพร้อมโครเมี่ยม ไฟท้าย LED แบบเลนส์ไส ล้ออัลลอยด์ 15’สี smoke chrome พร้อมยาง 195/65R15 คิ้วกันกระแทกด้านข้างสีเดียวกับตัวรถ โลโก้ “SS-I ” บริเวณฝากระโปรงท้ายด้านซ้าย ภายในพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน หัวเกียร์หุ้มหนังและฐานเกียร์ลายไม้ดำพร้อมขอบโครเมี่ยมแผงคอนโซลกลางสี Mettallic พร้อมลายไม้สีดำ สีภายในสีดำ/เบจ และเบาะหนังทูโทนสีเบจ/ดำ สนนราคาจำหน่ายอยู่ที่ 829,000 บาท มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 900 คัน และมีเฉพาะสีขาวเท่านั้น

ฟอร์จูนเนอร์ Aperto

ส่วนโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น TRD Sportivo นำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาตกแต่งพิเศษด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ของสำนักแต่ง TRD ทั้งสเกิร์ตหน้า-หลัง สปอยเลอร์หลัง ล้อแม็กอัลลอย 18 นิ้ว ยาง 265/60R18 พร้อมโลโก้ TRD เด่นด้วยป้ายสติกเกอร์ชื่อ TRD Sportivo ประตูรถด้านหลัง 2 ข้างและท้ายรถส่วนช่วงล่างใช้โช้คอัพและคอยล์สปริงจาก TRD Sportivo

ด้านการตกแต่งภายในมีชุดเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2 Din สีภายในห้องโดยสารแบบทูโทน สีดำและครีม Sand Beige เบาะหุ้มหนังแบบเจาะรูพร้อมปั้มลาย TRD Sportivo ,ที่เท้าแขนคอนโซลกลางหุ้มหนัง,หัวเกียร์ A/T และหัวเกียร์เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนหุ้มหนังแบบเจาะรู ขณะที่คอนโซลกลาง,แผงครอบแป้นเกียร์,พวงมาลัย และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า หุ้มลายสปอร์ตเคฟลาร์ทั้งหมด

แตกต่างจากฟอร์จูนเนอร์รุ่น APERTO ที่จะนำตัวรถรุ่น 3.0 V A/T แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาเสริมความบันเทิงด้วยการติดตั้งเครื่องเสียงแบบเต็มหน้าจอขนาด 2Din พร้อมจอLCD ขนาด 8.5 นิ้วบนเพดานห้องโดยสารและเพิ่มช่องเสียบต่ออุปกรณ์ AUX และ USB รองรับอุปกรณ์ด้านความบันเทิงแบบครบถ้วน

ฟอร์จูนเนอร์ทั้ง 2 รุ่นจะผลิตจำหน่ายเฉพาะสีขาวเท่านั้น โดยรุ่น TRD Sportivo ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 1,600 คัน และเริ่มรับจองเฉพาะช่วงเดือนมี.ค.-ต.ค. 2552 และรุ่น APERTO ผลิตเพียง 800 คัน รับจองระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ย. 2552 ส่วนราคายังไม่เปิดเผยในขณะนี้

โคโรลล่า SS-I

นอกจากนี้ยังมีอีก 2 เวอร์ชันให้เลือกคือ ยาริส และวีออส โดยรุ่นแรกมีการปรับเปลี่ยนกันชนหน้าและหลังให้กว้างขึ้น กระจังหน้าลายใหม่ ดีไซน์เรียว โคมไฟหน้าใหม่ใหญ่กว่าเดิม เพิ่มไฟเลี้ยวกระจกมองข้างโคมไฟหลังดีไซน์ใหม่อินเทรนด์ด้วยไฟเลี้ยวสีส้มและเลนส์ไฟตัดหมอกหลังแบบใส ล้ออัลออยใหม่ลาย 8 ก้านขนาด 15 นิ้ว และสเกิร์ตหน้า-หลังใหม่ (เฉพาะรุ่น S Ltd)

ส่วนภายในพวงมาลัย 3 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ความปลอดภัยที่แฝงมาพร้อมความสะดวกสบาย,ช่องต่อสาย AUX, ผ้าเบาะลายใหม่ เพิ่มความอเนกประสงค์มากขึ้นด้วย ช่องเก็บของด้านข้างประตู ถาดใส่ของอเนกประสงค์ใต้คอนโซดด้านคนขับ ช่องเก็บของอเนกประสงค์บริเวณคอนโซลกลาง ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลท้ายพร้อมที่วางแก้วด้านหลังกล่องเก็บของเหนือพวงมาลัยกล่องเก็บของลิ้นชักบริเวณผู้โดยสารด้านหน้า รวมสิ่งที่เปลี่ยนทั้งหมดกว่า 20 จุด ราคาเริ่มต้นที่ 539,000-714,000 บาท

ยาริส ไมเนอร์เชนจ์

ขณะที่วีออสได้เปิดตัวรุ่นพิเศษไปก่อนหน้านี้ คือ VIOS GT Street สปอร์ตเข้มเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแนวสปอร์ต โดยปรับรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวด้วยสเกิร์ตรอบคันทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง สปอยเลอร์และสติกเกอร์ GT Street ที่ฝากระโปรงหลัง ท่อไอเสียพร้อมฝาครอบ สแตนเลส และสติกเกอร์ด้านข้างดีไซน์สปอร์ต


ส่วนภายในใช้สีโทนสีแดงดำที่ให้ความรู้สึกเร้าใจ ทั้งผ้าเบาะสีแดงกับสีดำรวมถึงพวงมาลัยหุ้มหนัง หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีแดง และคอนโซลหน้าสุดสปอร์ตสีดำ-แดง อย่างไรก็ตาม วีออส จีที มีค่าตัวอยู่ที่ 579,000 บาท และผลิตเพียงแค่ 1,000 คันเท่านั้น

ทั้งหมดจะเป็นทีเด็ดของค่ายโตโยต้าในกระตุ้นตลาดช่วงงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ส่วนผู้บริโภคจะตอบรับมากแค่ไหนก็ต้องมาลุ้นกัน

* รับบัตรเข้าชมงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 (มูลค่าใบละ 100 บาท) ฟรี จำกัดจำนวนท่านละ 5 ใบ ติดต่อ 0-2629-4488 โดยแจ้งชื่อและนำบัตรประชาชนมารับ (บัตรมีจำนวนจำกัด)

ที่มา : manager ออนไลน์